ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

จากชายกลายเป็นหญิง พื้นที่ของเพศทางเลือกในนิทานอินเดีย

ปรากฏในรามายณะว่า เมื่อพระรามจะไปป่านั้นฝูงชนได้ติดตามพระองค์ไปด้วยเป็นอันมาก ณ ชายป่าที่หนึ่งพระองค์จึงประกาศิตว่าให้ชายหญิงทุกคนกลับเมืองไป หลังจากพระองค์กลับจากป่าแล้วสิบสี่ปีปรากฏว่าพระองค์พบว่าพวกสาวประเภทสองยังอยู่ ณ ตรงนั้น พระองค์จึงเห็นแก่ความภักดีให้พรว่าเมื่อจะทำการอันเป็นมงคลเช่นการเกิดหรือการแต่งงานให้ชนทั้งหลายขอพรจากพวกสาวประเภทสอง ที่เรียกว่า บะไธ (ปัจจุบันในภาษาฮินดีมีคำว่า บะธาอี बधाई แปลว่า ยินดีด้วย)

แต่อรวานีของทมิฬนี้มาจากลัทธิศักติ์ซึ่งแต่เดิมอาจจะมาจากความคิดเรื่องอรรธนารีศวรก็เป็นได้ เพราะ หิชะฑา ผูกพันอยู่กับ เจ้าแม่ พหุจาร มาตา และ ศิวะ ต่อมาจึงมีผูกเรื่องให้กลายเป็นสาวกของ อรวาน ซึ่งก็เป็นเทพที่อยู่ในวัดของเจ้าแม่ของอินเดียใต้เช่นกัน เช่นวัดของ เจ้าแม่เทราปที


รูปท้าว อรวาน หรือสุวรรณเศียรของอินเดียใต้ เทพเจ้าของชาวเกย์และเพศทางเลือก

ที่มาhttps://www.boldsky.com/yoga-spirituality/faith-mysticism/2015/tragic-story-of-aravan-origin-of-the-third-gender-060821.html


๑. อรรธนารีศวร (hermaphroditus)

เรื่องมีว่ามีฤาษีตนหนึ่งชื่อว่า "ภิริงกิต" มักมาเยี่ยมพระศิวะที่เขาไกรลาสเสมอ แต่ฤาษีผู้นี้ให้ความเคารพต่อพระศิวะเพียงองค์เดียว ทำให้พระอุมาเทวีทรงเสียพระทัย และขอให้พระศิวะแนะนำให้ฤาษีภิริงกิตให้ความเคารพกับตนบ้าง แต่ฤาษีภิริงกิตปฏิเสธ พระอุมาเทวีจึงพิโรธจนสาปให้ร่างกายของฤาษีภิริงกิตไร้พลัง ต่อมาภายหลังพระนางทรงละอายต่อสิ่งที่ได้กระทำต่อฤาษีตนนี้ จึงคืนคำสาปและอธิษฐานขอให้พระวรกายของพระนางเข้าไปรวมเป็นส่วนหนึ่งขององค์ พระศิวะ เพื่อให้พระฤาษีทุกคนต้องเคารพบูชาพระนาง ทำให้เกิดพระศิวะปาง อรรธนารีศวรขึ้น

ภาพอรรธนารีศวร
ที่มา http://www.hindudevotionalblog.com/2017/07/beautiful-pictures-of-ardhanarishvara.html

ส่วนในตำนานเกี่ยวกับพระนารายณ์ของไทย กล่าวว่าอรรธนารีศวรเกิดขึ้นจากจากที่พระนารายณ์อวตารเป็นนางโมหิณีและรวมกับพระศิวะ โดยการที่พระนารายณ์รวมกับพระศิวะ ได้เพราะในสกันธปุราณะกล่าวว่าพระนารายณ์คือปุรุษศักติของพระศิวะ ซึ่งอาจจะเป็นความพยายามรวมนิกายไวษณพนิกาย และไศวนิกาย ให้เป็นหนึ่งเดียวกันจนเกิดรูปเคารพพระหริหระ ที่ครึ่งหนึ่งเป็นพระศิวะ และครึ่งหนึ่งเป็นพระวิษณุ ที่เรียกว่าพระหริหระ โดยในรามายณะบางสำนวนจะอธิบายว่า แท้จริงผู้ที่พระศิวะรักและภักดีมากที่สุดแท้จริงคือพระนารายณ์ (พระศิวะจึงแบ่งภาครุทราวตาร - หนุมาน) และผู้ที่พระนารายณ์รักและภักดีที่สุดคือพระศิวะ (พระนารายณ์ได้รับ สุทัศนจักรจากพระศิวะ และพระรามบูชาศิวะลิงค์ชื่อว่า "ราเมศวร" ผู้ยิ่งใหญ่เหนือพระราม)


ภาพพระหริหระ
ที่มา http://www.hindudevotionalblog.com/2008/12/harihara-picture-combined-deity-form-of.html


พระนารายณ์สาวกคนแรกของพระศิวะ
ที่มา https://www.quora.com/Did-Lord-Shiva-ever-do-penance-to-impress-Lord-Vishnu

ในตำนานพระสวยัมภูลิงค์กล่าวว่า เมื่อพระพรหมกับพระนารายณ์เถียงกันว่าใครเป็นใหญ่กว่ากัน พระศิวะจึงเนรมิตรพระสวยัมภูลิงค์อันไม่มีที่สุดขึ้น พระนารายณ์จึงแปลงเป็นหมูป่าขุดลงไปดูต้นกำเนิด ส่วนพระพรหมขี่หงส์ หรือแปลงเป็นหงส์บินขึ้นไปดูยอด แต่ทั้งสองก็หาที่สุดไม่ได้จึงสวดบูชาพระศิวลิงค์นั้น พระศิวะจึงปรากฏกายออกมาจากศิวะลิงค์มาให้พร พระพรหมข้อให้ได้พระศิสะเป็นลูก พระศิวะจึงแบ่งภาคเป็นพระรุทร และฤาษีต่าง ๆ ที่เป็นลูกของพระพรหม ส่วนพระนารายณ์ข้อให้สาวกผู้รับใช้พระศิวะใกล้ชิด พระศิวะจึงให้พรพระนารายณ์ให้แบ่งภาคมาเป็นพระอุมาเทวีชายาของตน และด้วยความภักดีของพระนารายณ์ต่อพระศิวะ พระนารายณ์จึงเป็นที่นิยมเคารพบูชามากว่าเทพองค์อื่น ๆ


ภาพสวยัมภูลิงค์
ที่มา http://www.allabouthinduism.info/2015/02/17/shiva-legend-jyotirlinga/

แต่ตามตำนานที่คนฮินดูยึดถือปัจจุบัน กล่าวว่า พระนารายณ์เป็นพี่ชายของพระอุมาเทวี เป็นพี่เขยของพระศิวะ ส่วนโมหิณีคืออวตารของอาทิปราศักติ มารดาแห่งจักรวาลทั้งมวลสำหรับผู้ที่นับถือ ทุรคาเทวี แต่ในไวษณพนิกายที่นับถือพระนารายณ์เป็นใหญ่ก็ว่า ทุรคาเทวีคือสาวกของพระนารายณ์ เป็นอวตารของนางโยคีนิทรา ในไศวนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ก็ว่า ทุรคาเทวี เป็นอวตารของพระอุมาเทวีชายาของพระศิวะ แล้วแต่นิกายไหนที่นับถือใครเป็นใหญ่



ภาพนางโมหิณี หรืออัปสราวตาร
ที่มา https://www.quora.com/What-is-the-story-behind-Shiva-and-Mohini

แต่ข้อแตกต่างกันคือ ในตำนานไทย และศิวปุราณว่า นางโมหิณีสัมโภคกิริยากับพระศิวะแล้ว พระศิวะหลั่ง น้ำพีช (อสุจิ) แล้วฝากสัปตฤาษี  (ดาวหมีใหญ่/ จระเข้ แห่งทิศเหนือ) เก็บไว้เมื่อต้องการจะอวตารไปช่วยพระรามจึงให้สัปตฤาษีผู้เก็บน้ำพืชไว้เอาไปใส่หูนางอัญชนา (ไทยเรียกว่านางสวาหะ) เกิดเป็นหนุมาน แต่ในตำนานท้องถิ่น และพระหริหระ ว่านางโมหิณี เป็นหญิงแท้จึงตั้งครรภ์และให้กำเนิดพระหริหระ หรือไอยัปปา


ภาพเทพ Hermaphroditus ของกรีก - โรมัน (ท่อนบนเป็นหญิง ท่อนล่างเป็นชาย She male)
ที่ามา http://www.medievalists.net/2015/01/intersex-middle-ages/

หมายเหตุ อรรธนารีศวรของพระศิวะและพระอุมาเทวี น่าจะไดอิทธิพลจากเทพ hermaphroditus ของกรีกซึ่งเป็นเทพที่มีสองเพศในร่างเดียวกัน เพราะไปรวมร่างกับนางอัปสร Salmacis ตามเทพนิยายกรีก hermaphroditus เดิมเป็นเทพบุตรรูปงามลูกของเทพ Hermes/Mercury เทพแห่งการสื่อสาร กับเทวีแห่งความงาม และความรัก Aprhodite วันหนึ่งได้ไปอาบน้ำในสระแห่งหนึ่งที่เป็นที่อยู่ของนางอัปสร Salmacis นางเห็นเทพ hermaphroditus เปลือยกายอาบน้ำก็หลงรัก จึงขอความรักจากชายที่ตนหลงรัก แต่ hermaphroditus ไม่สนใจ นางจึงเข้าไปกอดชายที่ตนรักไม่ยอมปล่อยและขอร้องให้เทพทั้งหลายช่วยให้นางกับชายที่ตนรักไม่มีวันพรากจากกัน ทันใดนั้นเองร่างกายของนางและชายที่ตนรักก็ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน นับแต่นั้นมาเทพ hermaphroditus ก็มีสองเพศในร่างเดียวกันแต่นั้นมา โดยคำว่า hermaphrodite ในภาษาทางการแพทย์เอาไปใช้แปลว่า สิ่งมีชีวิตที่มีสองเพศ หรือกะเทย (ถ้าใช้กับคน)

Hermaphroditus มีอีกชื่อคือ Aphroditus หมายถึงวีนัสผู้ชาย ในสมัยโบราณซึ่งจะมีเทศกาลงานฉลองให้เทพ Aphroditus โดยให้ชายหญิงแลกเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน โดยชายจะแต่งเป็นหญิงหยอกล้อกับผู้หญิง (พระศิวแปลงเป็นหญิงหยอกล้อกับพระอุมาเทวี??)


ที่มา http://occult-world.com/demons/belial

ส่วนในปีศาจวิทยา demonology ได้กล่าวถึงปีศาจตนหนึ่งที่ปรากฏตนในรูปแฝดหญิงชายที่มีตัวติดกัน คือ Belial (ความไร้ค่า) ซึ่งเป็นปีศาจหนึ่งใน ๗๒ ตนที่กษัตริย์โซโลมอนเคยเรียกใช้ แต่เดิมว่าจะปรากฏในรูปเทพสองตนบนรถม้า ด้วยรูปกายที่สวยงามมีเสียงที่นุ่มนวล เป็นจอมมารแห่งการทรยศ ความประมาท และหลอกลวง มีอำนาจสร้างความเป็นมิตร และความสมานฉันท์ในหมู่บริวาร มิตร และเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตร

๒. โมหิณี เทวีแห่งความลุ่มหลงชายาของพระศิวะ

เรื่องของนางโมหินีที่มีตำนานเล่าว่า

แต่เดิมเมื่อพระวิษณุกับพระพรหมเถียงกันว่าใครใหญ่กว่ากันพระศิวะก็เลยเนรมิตรสวยัมภูลิงค์ที่หาที่สุดไม่ได้ขึ้น พระวิษณุจึงแปลงเป็นหมูขุดลงไปก็ไม่พบฐาน พระพรหมแปลงเป็นหงส์บินขึ้นไปก็ไม่ถึงยอด พอดีมีดอกจำปีทิพย์(หรือดอก "เกตะกี" ก็ว่า) ตกมาจากสวรรค์ พระพรหมก็เลยนำดอกเกตะกี (ดอกเตยหอม) ไปอวดว่าตนนั้นพบยอดของสวยัมภูลิงค์แล้ว พระวิษณุจึงยอมอ่อนน้อมให้ แต่พระศิวะโกรธมากจึงได้ปรากฏกายขึ้นและสาปให้พระพรหมปราศจากผู้บูชาในโลก และให้วิษณุขอพร พระวิษณุก็ขอพรให้ตนนั้นเป็นผู้ภักดีใกล้ชิดพระศิวะ ดังนั้นพระศิวะจึงให้พระวิษณุแบ่งภาคออกมาเป็นปราศักติ และกลายเป็นนางอุมาเทวีในที่สุด ดังนั้นวิษณุก็คือที่มาของชายาเอกของพระศิวะ? แต่ปัจจุบันชาวทมิฬส่วนใหญ่เชื่อในตำนานที่ว่านางอุมาเทวีคือน้องสาวของพระวิษณุมากกว่า


ดอกเกตะกี หรือดอกเตยหอม ห้ามใช้บูชาพระศิวะ
ที่มา https://venetiaansell.wordpress.com/2010/08/05/ketaki/


ดอกลันทมหรือจำปาลาว ห้ามใช้บูชาพระศิวะ
ที่มา http://www.plugdaily.com/2016/10/03/things-not-used-for-shiv-puja/

แต่ในศิวะปุราณะได้กล่าวว่าเมื่อครั้งที่กวนเกษียรสมุทรแล้วนางโมหินีมาหลอกล่ออสูรให้เอาน้ำอมฤตให้ตนแล้วตนจะแต่งงานกับคนที่อดใจรอที่จะได้น้ำอมฤตเป็นคนสุดท้ายและนางก็เป็นผู้แจกจ่ายน้ำอมฤตให้กับพวกเทวดาเท่านั้น...อสูรราหูสงสัยว่านางโมหินีจะเป็นกลลวงของนารายณ์ก็เลยแปลงเป็นเทวดาไปป่นอยู่กับพวกเทวดา พอได้ดื่มนำอมฤตแล้ว เทวดาตนหนึ่งเกิดจำราหูได้จึงฟ้องนางโมหินีนางก็เลยกลับเพศเป็นพระวิษณุใช้จักรตัดเศียรราหูแต่เนื่องจากราหูได้น้ำอมฤตท่อนหัวจึงกลายเป็นราหู ท่อนล่างจึงกลายเป็นพระเกตุในหมู่เทพนพเคราะห์ไป ส่วนอสูรทั้งหลายเมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกก็เลยจับอาวุธขึ้นสู้แต่ก็แพ้พวกเทวดาที่ได้น้ำอมฤตแล้ว


ภาพพระหริหระ ไอยัปปา
ที่มา https://www.quora.com/Lord-Hanuman-was-born-after-the-merging-of-Lord-Shiva-with-Lord-Vishnus-Mohini-form-Doesnt-that-make-him-the-most-powerful-God

ส่วนไอยัปปานั้นมาจากไหน? เนื่องจากบางตำนานในสมัยหนึ่งที่ต้องการประนีประนอมไศวนิกายและวิษณุนิกายเข้าด้วยกันจึงได้เกิดการบอกว่าพระวิษณุและพระศิวะคือเทพองค์เดียวกัน จึงเกิดประติมากรรมที่ปั้นเป็นรูปขึ้นหนึ่งเป็นพระศิวะครึ่งหนึ่งเป็นพระวิษณุขึ้นและก็ว่าหนุมานนั้นเป็นกำลังที่แบ่งมาจากพระศิวะเพื่อช่วยพระวิษณุในครั้งที่เกิดเป็นพระราม และในรามายณะฉบับท้องถิ่นบางสำนวนก็ว่า พระวิษณุและพระศิวะเป็นเพื่อนแท้ คือกล่าวได้ว่าในหัวใจของพระศิวะมีแต่พระวิษณุและในหัวใจของพระวิษณุก็มีแต่พระศิวะ คือเทพทั้งสองนี้รักกันมาก จนในศิวะปุราณะเลยเถิดไปว่าหนุมานเกิดจากการที่พระศิวะที่หลงในความงามของนางโมหิณีจึงได้สมสู่กับนางจนน้ำอสุจิเคลื่อนออกมาดังนั้นเหล่าสัปตฤาษีจึงได้เก็บเอาอสุจิของพระศิวะไปหยอดใสหูนางอัญชนา ธิดาของฤาษีโคดมจนนางตั้งครรภ์กำเนิดหนุมาน(บางตำนานว่านางอัญชนาเป็นลิง สามารถแปลงเป็นนางงามได้ เป็นชายาของพญาลิงเกศะรี ได้รับพรจากพระวายุให้เกิดหนุมานก็มี)

แต่ในตำนานของไอยัปปาเล่าว่าเมื่อครั้งที่พระศิวะและพระวิษณุในร่างของนางโมหิณี ได้แต่งงานกันและก็อยู่ด้วยกันสัปดาห์หนึ่งในเกาะกลางน้ำแห่งหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็นที่รัฐเกรลาของอินเดียใต้ เพราะหลังจากนั้นก็ให้กำเนิดบุตรชายไว้ที่เกาะกลางน้ำนั้น

(นางอัปสรในวรรณคดีสันสกฤตมักให้กำเนิดลูกแล้วไม่เลี้ยงเอง นอกจากจะยอมมาเป็นมเหสีของมนุษย์ ยักษ์ อสูรและเทวดา ฯลฯ ในเมืองหลวงที่มีข้าทาสบริวารค่อยเลี้ยงให้ ถ้าได้กันเองแบบคนธรรพ์วิวาห์ ยกเว้นนางศกุนตลาที่ท้าวทุษยันต์กลับมารับเข้าเมืองหลังจากเห็นแหวนหมั้นในท้องปลาแล้วพ้นสาปจำนางได้ ร้อยทั้งร้อยนางอัปสรจะทิ้งลูกให้สามี หรือคนอื่นเลี้ยงให้ เพราะพระอินทร์ที่ส่งนางมาทำลายตบะฤาษีไม่อนุญาตให้เลี้ยงลูกของนางกับฤาษี ต่าง ๆ ที่พระอินทร์ถือว่าเป็นลูกของศัตรูในสวรรค์ และเมื่อทำงานเสร็จไม่กลับสวรรค์หรือเข้าร่วมกับเทวสภา ก็จะถูกพระอินทร์หรือพวกเทวดาลงโทษ ส่วนสามีนางอัปสร ถ้าเป็นประเภทฤาษีที่ได้กันกลางป่าก็จะเบื่อนางอัปสรทันทีที่นางตั้งครรภ์คลอดลูก แล้วก็จะเลิกลากัน ไปนั่งสมาธิแสวงหาโมกษะต่อไป ส่วนลูกของตนมีบุญเทวดาจะช่วยรักษาไว้จนกว่าจะมีคนไปพบและรับไปเลี้ยง ส่วนในสวรรค์เป็นประเพณีที่นางอัปสรซึ่งเป็นลูกศิษย์ของฤาษีภรตก็จะได้กับฤาษีหนุ่ม หรือคนธรรพ์ที่มาเป็นศิษย์ของฤาษีภรตครูแห่งนาฏศิลป์ เพราะนางอัปสรจะเป็นนักแสดงฝ่ายหญิง และศิษย์ของฤาษีภรตที่เป็นชาย ได้แก่ฤาษีหนุ่ม พวกคนธรรพ์ และอมนุษย์ชั้นรองในสวรรค์ต่าง ๆ เพศชาย จะเป็นนักแสดงฝ่ายชาย หรือนักดนตรี)

เมื่อพระราชราชาศรีกาลาทรงเสด็จประพาสป่า พระองค์ก็ได้พบกับพระกุมารหน้าเทวาลัยของพระศิวะ แล้วพระองค์ก็เกิดเอ็นดูพระกุมาร จู่ ๆ ก็มีอากาศวานี ซึ่งเป็นเสียงร้องมาจากฟ้าสั่งให้ราชาศรีกาลาว่า "นำกุมารนั้นไปเลี้ยงแล้วเมื่อกุมารนั้นมีอายุครบสิบสองปี เขาก็จะทราบถึงความเป็นมาทั้งหมดของเด็กทารกผู้นี้เอง"


แต่เมื่อพระกุมารบุญธรรมได้โตขึ้นก็ได้รับความรักกับพระราชาและพระราชินีมากจนได้ตำแหน่งรัชทายาทแต่ต่อมาเมื่อพระราชินีมีบุตรที่เกิดขึ้นมาของพระนางเองความรักก็ได้เปลี่ยนเป็นความอิจฉา และนางก็เลยสมคบคิดกับอำมาตย์ ไดวัลย์ ที่เป็นญาติกันว่างแผนให้บุตรของนาง ราชาราชันย์ ได้ราชสมบัติ ไดวัลย์จึงให้พระเหสีแกล้งหลอกพระราชราชาศรีกาลาว่า พระนางป่วยเป็นโรคร้าย พระราชราชราชาศรีกาลาก็เชื่อ ให้หมอหลวงที่ได้รับสินบนจากราชินีมารักษา หมอก็บอกพระราชราชาศรีกาลาว่า "พระนางเป็นโรคร้ายไม่มีทางรักษาได้ นอกจากใช้น้ำนมของแม่เสือในป่ามามารักษาพระนาง" ดังนั้นให้ราชบุตรบุญธรรมจึงต้องออกไปป่าตามแผ่นร้ายที่ต้องการให้เขาไปตายจะเอาอะไรกับเด็กน้อยอายุเพียง12ปี แต่ แล้วระหว่างทาง พระราชกุมารได้ปราบอสูรมหิงษี เพราะที่จริงเรื่องมีว่าหลังจากมหิงษาสูรถูกเจ้าแม่ปราศักติ หรือทุราเทวีฆ่าชายาของมหิงษาสูรหรือบางตำนานก็ว่าน้องสาวโกรธแค้นมาจึงบำเพ็ญตบะและได้พรว่าไม่ว่าศักติใดๆหรือพระวิษณุพระศิวะก็ฆ่านางไม่ได้ ดังนั้นพระศิวะและพระวิษณุจึงจำเป็นต้องสร้างเทพนักรบองค์ใหม่มากำจัดนางที่อยู่ในป่าคอยเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์และตั้งตัวเป็นศัตรูกับพระเจ้า ฉะนั้นพระวิษณุจึงแปลงเป็นโมหิณีและแต่งงานกับพระศิวะเพื่อให้กำเนิดสวามีไอยัปปาดังกล่าว


พระหริหระ ไอยัปปา ฆ่ามหิงษี
ที่มา https://www.hindu-blog.com/2010/08/mahishi-story-of-demon-mahishi-who-was.html

ดังนั้นพระกุมารซึ่งได้เปิดเผยตนแล้วว่าคือมหาเทพไอยัปปาบุตรของพระศิวะและวิษณุจึงได้ขี่เสือและตอนพญาเสือโครงในป่าทั้งหมดกลับเข้าไปในเมืองเมื่อพระราชาศรีกาลา ทราบเรื่องทั้งหมดก็จะลงโทษพระราชินีกับผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมด แต่สวามีไอยัปปามีจิดใจมีเมตตามากและเห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมืองไม่ต้องการให้เกิดความแค้นที่เกิดจากการเข่นฆ่ากันอีกให้อภัยและก็จะกลับสวรรค์ไป เพื่อระลึกถึงสวามีไอยัปปา กษัตริย์เกราลา พระราชราชาศรีกาลาจึงได้ต้องการสร้างวัดของไอยัปปาขึ้นดังนั้นไม่รู้จะสร้างที่ไหน ไอยัปปาก็เลยแผงลูกศรไปตกที่เขาแห่งหนึ่ง และก็กลับสวรรค์ไป ต่อมาพระราชราชาศรีกาลาไม่รู้จะสร้างวัดไอยัปปาอย่างไร พระอินทร์จึงได้ส่งวิษณุกรรมมาช่วยสร้างจนเสร็จ

ภาพไอยัปปาทรงเสือ
ที่มา http://www.hindudevotionalblog.com/2008/12/swamy-ayyappa-pictures-devotional.html

สวามีไอยัปปา คำว่า ไอยะ หมายถึงผู้ปกป้อง ผู้ดูแลโค ก็ได้ ส่วน อัปปาหมายถึงพ่อ สวามีใช้เรียกพระเป็นเจ้า หรือพระนักบวช ดังนั้น สวามีไอยัปปา คงหมายถึง เจ้าพ่อผู้เป็นดังพ่อผู้ปกป้อง (ของชนทั้งหลาย) นอกจากนี้ไอยยัปปายังมีชื่ออื่นเช่น ไอยานาร ซึ่งแต่เดิมน่าจะเป็นวีรชนในยุคโบราณทั้งหลายทางใต้ที่ถูกจารึกไว้บนหินฮีโรสโตน นานวันก็ทำเป็นรูปเคารพขึ้นมา ในทางทมิฬเชื่อว่าเป็นเทพคุ้มครองนาไร่ และว่าเป็นองค์เดียวกับไอยัปปา ,มณีกัณดัม (มณีกัณฐัม) หมายถึงผู้มีคอพระดับด้วยแก้วมณีแต่เดิมเป็นนามของพระกฤษณะและพุทธเจ้าในพุทธศาสนามหายาน , หริหระ เป็นรูปเคารพครึ่งหนึ่งคือพระวิษณุครึ่งองค์เป็นพระศิวะ ที่เชื่อว่าแท้จริงพระวิษณุและพระศิวะเป็นเทพองค์เดียวกัน ต่อมาก็ว่าเป็นการสัมโภคกิริยาของพระศิวะกับวิษณุ จนทำให้เกิดตำนานรักบันลือโลกของพระศิวะและนางโมหิณี ซึ่งไม่ใช่ชายแต่งเป็นหญิงตามความคิดของคนไทยดังเช่นในเรื่องรามเกียรติหรือศิวะปุราณะ พระนางนารายณ์ของอินเดียเป็นหญิงจริงมีลูกคือไอยัปปานั้นเองดังนั้นหริหระนี้ ก็กลับกลายเป็นนามที่ใช้เรียกไอยัปปาด้วย จากเรื่องของนางโมหินีและอระวานีที่กำกวมในเรื่องเพศสุดท้ายก็มาหาทางออกและสรุปที่ไอยยัปปา ซึ่งกลับกลายเป็นเทพพรหมจารีอันบริสุทธิ์ปราศจากเรื่องเพศ และทรงนิยมสีดำหรือน้ำเงินเข้ม ซึ่งแต่เดิมเป็นสีของคนวรรณศูทร ซึ่งเทศกาลบูชาไอยัปปาจะอยู่ในช่วงเดือนไตมาศัม ของทมิฬซึ่งเป็นช่วงคราบเกี่ยวในช่วงบูชาพระสกันธกุมารและพระศิวะในช่วงสิ้นปีและเริ่มปีใหม่นั้นเองผู้ศรัทธาสวามีไอยัปปาจะนุ่งหมด้วยสีดำ และถือศีลอดเพื่อชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ และไปนมัสการตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเพื่อแสวงบุญ


ภาพสาวกของเทพหริหระ ไอยัปปา นุ่งดำถือศีลบูชาเทพในอินเดียใต้
ที่มา https://www.thehindu.com/todays-paper/tp-national/tp-andhrapradesh/devotees-storm-school-for-insulting-boy-on-ayyappa-deeksha/article6556561.ece

ความเชื่อของอระวาน ไอยานาร ไอยัปปา จึงสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดความเปลี่ยนแปลงของลัทธิศักติในอินเดียจากที่หมกหมุ่นในเรื่องเพศ และความรักบันลือโลกของนางโมหิณี และศิวะ ได้ถูกชะล้างให้กลายเป็นลัทธิที่มีแนวคิดอันบริสุทธิ์แล้วด้วยเรื่องของไอยัปปา และเป็นประตูให้นักคิดนักศาสนาอินเดียได้พัฒนาลัทธิศักติอินเตอร์ ในยุคหลังดังเช่นรามกฤษณะมิชั่นมัส ที่นับถือเจ้าแม่กาลีแต่ปราศจากเรื่องเพศโดยสินเชิง และบอกว่าแท้จริงทุกศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข


ภาพยนตร์ภาษากัรนาฑะ เรื่องกำเนิดเทพไอยัปปา
ที่มา https://youtu.be/7gvagrBVljQ

หมายเหตุ : ไอยัปปา เที่ยบได้ หรือได้อิทธิพลจากเรื่อง Hercules ในวัยเยาว์ที่ต่อสูงกับเทวี Hera และ Hylas บุตรชาย/บุตรบุญธรรมของ Hercules

๓. เยลลัมมา เจ้าแม่ของหนุ่มสาวบริการ

เรณุกา หรือ เยลลัมมา เป็นพี่น้องเทวีทั้งเจ็ดของ นางเทพมีนักษี (อวตารของเจ้าแม่อุมาเทวี) ที่นับถือกันทางใต้ ซึ่งอาจจะเป็นที่มาของสัปตมาตรา หรือสัปตมาลิกา ซึ่งบางอวตารของเจ้าแม่ทุรคาทั้งเจ็ด ครั้งไปปราป รักตาสูร ที่ได้พรว่าถ้าเลือดหยดลงพื้นหยดหนึ่งก็จะกลายเป็นอสูรอีกตนมาช่วยรบ

ภาพเยลลัมมา และประวัติของเรณุกาเทวี

ที่มา http://www.journeyfix.com/indian-fairfestivals/shri-yellamma-devi-fair/overview-14-807.html
ในตำนานของนารายสิบปางเล่าว่า นางเรณุกาคือธิดากษัตริย์ได้เป็นชายาของฤาษีตนหนึ่ง วันหนึ่งมาตักน้ำที่ท่าเห็นพวกกษัตริย์มาเล่นน้ำและ หยอกล้อกันในทางโลกีย์นางก็เลยเกิดความใคร่อยากให้สามีตนทำเช่นนั้นบ้าง แต่เมื่อนางบอกกับสามีฤาษีของนาง พระฤาษีนั้นโกรธสั่งให้ลูกของนาง ฆ่านางเพราะคิดว่านางนอกใจหรือใจแตกเป็นหญิงไม่ดี ลูกของนางคนโต และกลางไม่ฆ่านางเพราะรักนางมาก ฤาษีก็เลยสาปให้เป็นบ้า แต่ลูกคนสุดท้ายคือ ปรศุราม ยอมฆ่านาง และขอพรจากฤาษีว่าให้นางกลับมามีชีวิตอีก และพี่ชายทั้งสองหายเป็นบ้า

แต่ในทางตำนานของทมิฬเล่าว่า เรณุกา (หมายถึง ทราย) นั้นคือภรรยาของ ฤาษี ชะมทัคนี มีบุตรกับฤาษีสามคน คนสุดท้ายคือปรศุรามเป็นอวตารของพระวิษณุ นางมีความภักดีต่อสามีมาก ทุกเช้านางจึงไปที่แม่น้ำและด้วยความภักดีต่อสามีของนางทำให้นางสามารถปั้นหม้อน้ำจากทรายได้ และนางก็ใช้หม้อนั้นบรรจุน้ำกลับมาที่อาศรมเสมอ หลังจากใช้เสร็จตอนเย็นหม้อนั้นก็กลับกลายเป็นทรายตามเดิม แต่วันหนึ่งเมื่อนางกำลังปั้นหม้อ นางเห็นคนธรรพ์คนหนึ่งเหาะผ่านมา นางเผลอมองดูคนธรรพ์นั้นด้วยใจปฏิพัทธ์ (ชื่นชมในความหล่อของชายอื่น) วันนั้นนางก็เลยปั้นหม้อจากทรายไม่ได้ ไม่ได้น้ำกลับมา ฤาษี ชะมทัคนีรู้เข้าโกรธมากให้ขับไล่นางไป นางจึงไปบูชาศิวลึงค์อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง เมื่อสัปตฤาษีผ่านมานางก็ถวายข้าวปลาอาหาร ที่เรียกว่าทักษิณาทาน แล้วก็ขอพรให้สามีนางหายโกรธ หลังจากนั้นนางก็กลับไปขอโทษสามีของนาง แต่ ฤาษีชะมทัคนีไม่หายโกรธจึงสั่งให้ปรศุรามฆ่า ปรศุรามเคารพในพ่อมากจึงไล่ฆ่านาง ขณะนั้นนางจึงหนีไปด้วยความกลัว ในทีสุดไม่รู้ว่าจะหนีไปไหนจึงจะไปกระโดดน้ำตาย แต่ชาวประมงและภารยาซึ่งเป็นคนวรรณต่ำช่วยนางไว้ พอดีปรศุรามตามมาทัน สามีภารยาชาวประมงพยายามห้ามจึงถูกปรศุรามฆ่าตัดหัวทั้งสามคน จากนั้นปรศุรามจึงมาหาพ่อ ฤาษีชะมทัคนี ก็ว่าทีให้ฆ่านางก็เพื่อจะล้างบาปให้นาง ต่อจากนั้นก็ให้ปรศุรามนำน้ำทิพย์ไปพรมศพของนางเรณุกาแล้วนางก็จะคืนชีพเป็นสาวบริสุทธิ์อีกครั้ง ปรศุรามก็เอาน้ำทิพย์ไปพรมศพทั้งสามคนก็พื้นขึ้นมา แต่ว่าปรศุรามสับหัวผิด ระหว่างนางเรณุกากับ สาวชาวประมงนั้น ดั้งนั้นชาวประมงจึงไม่กล้ารับ ร่างที่มีหัวภรรยาตนแต่กายเป็นของภรรยาของฤาษี แต่ฤาษีชะมทัคนีรับนางนั้นเป็นภรรยาตน ส่วนร่างที่มีหัวของนางเรณุกาแต่กายเป็นของ หญิงวรรณต่ำนั้นถูกสาปให้เที่ยวสมสู่กับชายทั้งโลก แต่คำสาปนั้นไม่มีผลกับเรณุกาซึ่งต่อมากลายเป็น เยลลัมมาเพราะนางทำการบูชาพระศิวะจึงได้พ้นจากบาปและกลายเป็นเทวีอันศักดิ์สิทธิ์ และบางก็ว่าแท้จริงนางเรณุกาคืออวตารของปราศักติ หรืออุมาเทวี



ภาพยนตร์ ศักติลีไล ตอนปรศุรามต่อเศียรผิด
ที่มา https://youtu.be/g9uiBXUJF2o

ครั้งหนึ่งฤาษีนารทเถียงกันกับฤาษีตนหนึ่ง (บางตำนานว่าคือ ฤาษีภิริงกิต) ว่าระหว่างปราศักติ์กับปุรุษะ คือพระศิวะ ใครจะยิ่งใหญ่กว่ากัน ฤาษีตนนั้นก็เลยเอานกตัวหนึ่งมาและเอาวิญญาณออกไป นกตนนั้นก็ตาย และก็ว่าถ้าร่างไม่มีวิญญาณคืออาตมาก็ต้องตาย ฉะนั้น ปุรุษะจึงยิ่งใหญ่กว่า ปราศักติ ที่เป็นเพียงกายกิริยา นางศักตีทั้งหลายรู้เข้าก็โกรธ พระสรัสดีก็เลยเรียกเอาการพูดได้คือมาจากฤาษีตนนั้น ทำให้ฤาษีสวดมนต์ไม่ได้ พระลักษมี ก็เลยเรียกเอามงคลและพลังในการใช้แขนขาในการทำงานเพื่อให้ได้ทรัพย์กลับคิอมาจากฤาษีตนนั้นทำให้ฤาษีตนนั้นเป็นอำมพาต และพระอุมาเทวี ซึ่งเป็นตัวแทนของปราศักติจึงเรียกพลังในการทำงานของหัวใจ คือมาจากฤาษีตนนั้น ทำให้ฤาษีตนนั้นตาย เมื่อฤาษีตนนั้นตายร่างได้ล้มไปถูกหมอน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในยัญพิธีของตนหกลงไปในไฟที่ใช้ในยัญพิธีนั้นแล้วก็กลายเป็นอสูร และอสูรนั้นก็เหาะไปสวรรค์เพื่อรบกับเหล่าศักติ ในตอนนั้น นางศักติทั้งหลายเช่น ลักษมี และสรัสวดีกลัวมาก แต่นางอุมาเทวี ไม่เกรงกลัวและกลับร่างเป็นปราศักติ และกลืนอสูรนั้นไปทำให้อสูรนั้นตาย แต่แล้วร่างของนางก็กลับกลายเป็นสีดำดังหมึกเพราะบาปที่นางฆ่าพราหมณ์ พระศิวะก็เลยแนะให้นางไปเกิดใหม่พร้อมกลับฤาษีนั้น คือ ฤาษีนั้นกลับมาเกิดเป็น ฤาษีชะมทัคนี ส่วนนางกลับมาเกิดเป็นเรณุกา เมื่อใดที่นางต้องตายเพราะฤาษีชะมทัคนีแล้วถูกฤาษีชะมทัคนีชุบชีวิตขึ้นใหม่ แต่แล้วก็ขับไล่นางไปอีก นางก็จะพ้นสาป



ภาพยนตร์ ศักติลีไล ตอนตรีเทวีสาปฤาษี
ที่มาhttps://youtu.be/M0kbl-5UezU

ดังนั้นเมื่อฤาษีชะมทัคนี สาปให้นางต้องสมสู่กับชายทั้งโลกนั้น เป็นการแสดงว่าฤาษีชะมทัคนี ทอดทิ้งนางแล้ว และว่าไปแล้วหญิงที่สามารถสมสู่กับชายทั้งโลกแล้วกลับกลายเป็นสาวงามที่บริสุทธิ์อยู่เสมอนั้น เป็นธรรมชาติของนางอัปสรทั้งหลายนั้นเอง เมื่อนางพ้นสาป นางจึงไปบูชาพระศิวะบำเพ็ญสมาธิอยู่เมื่อ แล้วพระศิวะก็มาประทานพรให้นางแบ่งภาคเป็นเทวี เยลลัมมาให้ชาวโลกบูชา ส่วนภาคปราศักติ หรืออุมาเทวีนั้นก็แบ่งออกมาจากนางกลับไกรลาสไปกับพระศิวะ จะจริงหรือเป็นแค่ข้ออ้างก็ไม่ทราบแต่ด้วยคำสาปของชะมทัคนีที่ยังเหลืออยู่นั้นได้ถูกตกทอดไปสู่สาวกของนาง เยลลัมมา หรือเรณุกาเทวี ที่ต่อมามีหน้าที่ทำพิธีตันตระ คือการสมสู่บูชาเจ้าแม่ โดยหน้าที่นี้กลายเป็นของ เทวทาศี และร่วมถึง อระวานี (สาวประเภทสอง) ในบางท้องถิ่นของรัฐกัรณาฏกะไป


เรณุกา เทวีแห่งนิกายตันตระ
ที่มา https://rampuri.com/tantric-goddess-mother-renuka/

แต่บางตำนานกล่าวว่าหญิงที่มาสับร่างกับนางเรณุกาคือคนรับใช้ของนางที่ชื่อ เยลลัมมา ซึ่งต่อมาเมื่อสับร่างแล้ว ปรศุรามไม่ได้ต่อหัวให้ เหลือแต่ร่างของเยลลัมมาไม่มีหัว นางเรณุกาก็เลยเอาดอกบัวไปใส่ไว้ ร่างของเยลลัมมาก็เลยกลายเป็น ลัชชะ เคารี เทวีที่มีศีรษะเป็นดอกบัว มือถือดอกบัวทั้งสองข้าง บางก็ว่าลัชชะเคารีนี้ก็คือรูปเคารพของนางอทิติในสมัยโบราณ ที่ทำเป็นรูปหญิงเปลีอยท่อนลำตัว คล้ายกับนางเป๋อของไทย แต่มีศีรษะเป็นดอกบัว ซึ่งอาจจะเป็นลัทธิบูชาเพศแม่ที่ต่อมาได้เปลียนเป็นโยนีคู่กับลัทธิบูชาศิวะลึงค์ ครับฉะนั้น รูปเคารพของนางเรณุกาหรือเยลลัมมา มีแต่หัว แต่ของลัชชะ เคารี หรือ นั้นมีแต่ลำตัว แต่บางคนก็ว่า ที่ถูกรูปเคารพของนางเรณุกา คือรูปที่มีแต่หัว แต่ของเยลลัมมาหรือลัชชะเคารีนั้นมีแต่ตัวก็มี แล้วแต่จะเชื่อกันไป โดยรูปเคารพของนางเรณุกา และเยลลัมมานั้นถือว่าเป็นเทวีของคนวรรณต่ำในอินเดีย ส่วนลัชชะเคารีนั้นเชื่อว่าน่าจะมีความเชื่อคล้ายกับไทย คือให้เกิดสเน่ห์และโชคลาภ เช่นเดียวกับนางเป๋อ นางแอน นางพิมพ์ ที่ทำไว้คู่กับปลัดขิกเช่นเดียวกับของไทย



ภาพนางเป๋อ


ที่มา https://horoscope.thaiza.com/content/146926/



ภาพนางแอ่น ปลัดขิก

ที่มา http://www.krusiam.com/community/forum2/view.asp?forumid=Cate00002&postid=ForumID0033714

ภาพนางพิม
ที่มา https://www.web-pra.com/Auction/Show/6280189



ภาพลัชชะ เคารี

ที่มา https://vedicgoddess.weebly.com/goddess-vidya-blog/by-yogi-ananda-saraswathi-devi-lajja-gauri

๔. อะระวาน สุวรรณเศียรของอินเดีย

เทพท้องถิ่นของอินเดียใต้ตนหนึ่งชื่อ อระวาน ซึ่งมาจากสันสกฤตว่า อิราวัน ผู้เป็นลูกชายของอรชุนกับนางพญานาค อุลุปี ซึ่งเป็นลูกสาวของอนันตนาคราช (ตามนิทานพื้นบ้านทมิฬเรื่องท้าวอระวาน ที่บูชาอนันตนาคราช หรือวาสุกีนาคราชมากกว่า  แต่ในมหาภารตะว่าอุลุปีเป็นธิดาของท้าวเการวยะ นาคราช )  เรื่องมีว่า เมื่อครั้งอรชุนมาอยู่ป่ากับพวกพี่พระแพ้พนันกับพวกเการพ นั้น ได้แยกตัวมาบำเพ็ญตนเพื่อจะขออาวุธกับพระศิวะ ระหว่างนั้นไปพบกับ อุลุปีเข้า จึงรักกันไปอยู่ด้วยกันระยะหนึ่งจนอุลุปีตั้งท้อง อรชุนก็ไปบำเพ็ญต่อ และก็พบกับหญิงและมีความรักเรื่อยไป ตามฉบับวีระบุรุษในวรรณกรรมแขกและไทย จนกระทั้งได้บำเพ็ญตนสำเร็จได้อาวุธจากพระศิวะไปเที่ยวสวรรค์กับพระอินทร์แล้ว...ขอเล่าเลยไปถึงเมื่อจะทำศึกกับพวกเการพนั้น นางอุลุปีให้ ลูกของตน อิราวัน มาช่วยพ่อรบ และก็ตายในสงครามภารตยุทธอย่างกล้าหาญ ซึ่งในฉะบับใต้ที่เป็นนิกายของพวกศักติ์ว่า ก่อนจะทำสงครามพระกฤษณะ แนะให้ อิราวันทำพิธีบูชากาลี ด้วยการแล่เนื้อของตัวเองทั้งหมดบูชาในไฟต่อหน้าเทวรูปกาลี จนเหลือแต่หัว อย่างหนึ่ง และประการที่สอง อิราวัน สัญญาว่าจะเป็นผู้ที่ตายในที่รบ ซึ่งประการหลังนี้ต้องการหยิบยกเอาว่า อิราวาน นั้นเก่ง ที่ตายเพราะสัญญากับเจ้าแม่กาลีต่างหาก


ภาพท้าวอิราวันหรืออระวาน
ที่มา http://www.robasworld.com/mahabharata-iravan/

เมื่ออิราวันเหลือแต่กระดูก มีหัวแล้วจึงสวดถึง อนันตนาคราชที่เป็นตา อนันตนาคราชก็มาช่วยด้วยการรัดห่มโครงกระดูกของอิราวานไว้เอง และแปลงเป็นเนื้อตัวของ อิราวาน ที่นี้ก่อนวันรุ่งขึ้นอันเป็นกำหนดที่อิราวันจะต้องตายตามสัญญาต่อเจ้าแม่กาลี อิราวันเกิดคิดที่อยากจะแต่งงานขึ้นมา แต่ว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนย่อมแต่งงานกันเจ้าบ่าวที่กำลังจะตายพรุ่งนี้ เพราะการเป็นม่ายในสมัยนั้นต้องเข้ากองไฟตายไปกับสามีที่เรียกว่าพิธีสตีด้วย ซึ่ง ในบางตำนานว่าพระกฤษณะ จัดให้อิราวันแต่งกับหลานสาวของตนเอง แต่ตำนานที่เป็นที่นิยมที่สุดกับว่า พระกฤษณะเองเป็นคนแต่งงานกัน อิราวัน ในรูปของโมหิณี ซึ่งก็คือนางอัปสราวตารที่เคยแต่งกับศิวะมาแล้ว จนมีลูกคือ ไอยัปปา ซึ่งเป็นผู้ปราบ มหิงสี เมียของมหิงสาอสูรที่ ขอพรว่าไม่ให้ใคร ไม่ว่าจะ เป็นเทพองค์ไหน เทวี ศิวะ นารายณ์ ทุรคา ฯ ฆ่านางได้ คือ อัปสราวตาร หรือโมหินีของแขก เป็นอวตารของวิษณุ ก็จริง แต่ก็เป็นผู้หญิงจริงๆด้วยมีลูกได้ ไม่ได้เป็นผู้ชายแปลงเป็นหญิง แล้วมีลูกไม่ได้อย่างที่ปรากฏใน รามเกียรติ์ของเรา และศิวะปุราณะ


ซึ่งตรงนี้เป็นที่น่าสนใจว่าหากคติว่าโมหิณีเป็นหญิงจริงแล้วไฉน ในทางทมิฬจริงว่า อิรวัน หรือ อระวานของเขา มีสาวกคือ อระวานี ที่จะเป็นพวกสาวประเภทสอง ที่เป็นพวกผู้ชายแต่งเป็นหญิง คือพวกเดียวกับ หิชะฑา ในทางเหนือที่ปรากฏในรามายณะว่า เมื่อพระรามจะไปป่านั้นฝูงจนได้ติดตามพระองค์ไปด้วยเป็นอันมาก ณ ชายป่าที่หนึ่งพระองค์จึงประกาศิตว่าให้ชายหญิงทุกคนกลับเมืองไป หลังจากพระองค์กลับจากป่าแล้วสิบสี่ปีปรากฏว่าพระองค์พบว่าพวกสาวประเภทสองยังอยู่ ณ ตรงนั้น พระองค์จึงเห็นแก่ความภักดีให้พรว่าเมื่อจะทำการอันเป็นมงคลเช่นการเกิดหรือการแต่งงานให้ชนทั้งหลายขอพรจากพวกสาวประเภทสอง




ภาพการรบในสงครามมหาภารตยุทธิ์
ที่มา https://tamil.boldsky.com/insync/pulse/2015/the-tragic-story-aravan-origin-the-third-gender-007287.html

แต่อรวานีของทมิฬนี้มาจากลัทธิศักติ์ซึ่งแต่เดิมอาจจะมาจากความคิดเรื่องอรรธนารีศวรก็เป็นได้ เพราะ หิชะฑา ผูกพันอยู่กับ เจ้าแม่ พหุจาร มาตา และ ศิวะ ต่อมาจึงมีผูกเรื่องให้กลายเป็นสาวกของ อระวาน ซึ่งก็เป็นเทพที่อยู่ในวัดของเจ้าแม่ของอินเดียใต้เช่นกัน เช่นวัดของ เจ้าแม่เทราปที

ซึ่งที่น่าสนใจก็คือ รูปของ อระวานก็คือ เศียรของมนุษย์มีเขี้ยวและมีนาคเป็นสัญลักษณ์ขดอยู่หน้ามงกุฏ ซึ่งถ้าเป็นหน้าของอสูรที่แขวนอยู่ตามบ้านนั้นจะไม่มีมงกุฏ ซึ่งผมก็สงสัยว่า หน้ากาฬของเรานั้นจะมีที่มาจาก อระวาน นี่และเพราะว่า การบูชา เศียรของอรวานนั้นมีขึ้นตามวัดเป็นรูปใหญ่โต แพร่มาถึงสิงคโปร์ ซึ่งรูปนี้จะตั้งบูชาในวัดของ มริอัมมั่น ซึ่งก็เป็นวัดเจ้าแม่องค์เดียวกับวัดแขกสีลมบ้านเรา ซึ่งมริอัมมั่นก็คือทุรคาเดวี หรือ ภัทรกาลี หรือ ปราศักติ ที่ทางใต้ว่า ซึ่งปราศักตินี้ก็คือ เจ้าแม่กวนอิม หรือ อวโลกิเตวศวร ที่ในคัมภีร์ การณฺฑวยุหสูตร ว่าเป็นว่าให้กำเนิด ตรีมูรติ และแบ่งภาคเป็น ศักติ ของเหล่าตรีมูรตินั้น จึงชื่อว่า ปราศักติ

กล่าวต่อถึง เศียรเทพ อระวาน เมื่อถูกฆ่าแล้วในสงครามมหาภารต กฤษณะ ก็มีบัญชาให้ไปฆ่าอสูร กุตตจุรัน ผู้ขอพรว่าให้ตนถูกฆ่าได้เฉพาะผู้มีแต่เศียรและกำเหนิดจากน้ำเท่านั้น ดังนั้น อระวาน ที่มีแต่เศียรจึงลงไปในแม่น้ำ จรปริกา และกลายเป็นทารก ลอยขึ้นมาร้องว่า กุวะ กุวะ พระราชาของ จันทรคิรี ไปพบเข้าจึงนำมาเลี้ยงไว้ ให้ชื่อว่า จรปาลัน ต่อว่า กุตตจุรันมาทำสงครามกับ พ่อของเขา จรปาลันจึงฆ่า กุตตจุรัน และได้ชื่อว่า กุตตันตะวัร เพราะ ฆ่า กุตตจุรันได้ ซึ่งผมมีความสงสัยว่า ไม่ทราบว่า อรวานนี้จะเป็นที่มาของ หน้ากาฬของไทยเรา และ สุวรรณเศียรด้วยหรือไม่ เพราะสมัยนี้เป็นโลกไร้พรหมแดนด้วยอินเตอร์เนต แต่สมัยนั้นก็มีพรหมแดนที่แน่ชัดเช่นกัน อารยะธรรมอินเดียเมื่อพันปีที่แล้วก็แพร่ไปทั่วเอเซียไปถึงตอนใต้ของจีนด้วยซ้ำก็ปรากฏมีวัดฮินดูอายุเป็นพันปีสร้างขึ้นเพื่อเอาใจราชาราชะ โจฬนฺ ของอินเดียใต้ อีกประการหนึ่ง มีเรื่องของ ท้าวขวัญเท่าฟ้า ในรามชาดก ของภาคอีสานเราที่เป็นมนุษย์และเกิดจากเชื้อของท้าวตัปเมศวร หรือศิวะทางภาคอีสาน อาจจะเป็น ไอยัปปา มาจากทางใต้ของพวกทมิฬนี่เอง เพราะเป็นคนละคนต่างหากกับหนุมานที่น่าจะมีที่มาจาก ศิวะปุราณะ ที่ว่า หนุมานเกิดจากเชื้อของ ศิวะ ที่หยอดลงหูของธิดาของฤษีโคตมะ ชื่อ อัญชนา ที่เรียก หริหระในสมัยหลังนี้ ส่วนการที่เรื่องราวในสุวรรณเศียรของเราไปมีเรื่องราวหาคู่เป็นหลักคล้ายของพระสังข์ ก็น่าจะเป็นอิทธิพลของพระสังข์นั้นเอง เพราะเรื่องราว อรวานนั้นเป็นเรื่องทางลัทธิตันตระเข้าใจยาก
ประวัติของเทพ อระวาน สุวรรณเศียรแขกอินเดีย
ที่มา https://youtu.be/AR9FyI_IB4Y

ในทางทมิฬ ในวันพระจันทร์เต็มดวง ในเดือนของ จิตติไร ระหว่าง เมษายน ถึงพฤษภาคม จะมีเทศกาล บูชา อรวาน ในฐานะของ กุตตันตะวัร อย่างใหญ่โต และ อระวานี ที่เป็นสาวประเภทสองของแขก จะมาร่วมร้องไห้ให้เพราะระลึกถึงการตายของอระวาน หรือ อิราวัน ในมหาภารตะ ในฐานะตัวแทนของนางโมหินี หรือที่เรียกว่า "ติรุนงไก" อันหมายถึงลูกสาวของพระเจ้า หรือสแลงของ สาวประเภทสอง เช่นที่ในชนบทของเมือง โกตถไต และ ปิลไลยัรกุปปัม หรือ เทวนัมปัตตนัม ติรีเวตกลัม อดิอรหนัตตุม ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจิตัมภรัม ซึ่ง อระวานี เรียกว่า อลิส เช่นกัน แต่เป็น อลิส สาวมหัศจรรย์ ไม่ใช่ อลิส พจญภัยในแดนวิเศษ ซึ่งถ้าใครมาเที่ยวทางรถไฟ ในอินเดีย ปัจจุบัน ก็จะเห็นพวกเธอเทียวขอทักษิณาทาน ก็ไม่ต้องแปลกใจ ซึ่งแขกเองบางคนก็ให้บางคนก็ไม่ให้ บางคนเล่าว่าพวกเธอมีวาจาสิทธิ์ถ้าใครไม่ให้เงิน เธอโกรธสามารถสาปให้ถึงตายได้ด้วย

หิชะฑา นี้ อาจจะออกเสียงว่า หิชรัส เพราะ ตามที่สะกดจริงครือ ฑ มีจุดของใต้ ไม่ในใจ เพราะบางแห่งก็สะกดเป็น หิชดะ บางแห่งก็ว่า หิชระ

หมายเหตุ : เจ้าแม่พหุจาร อาจจะเทียบได้กับเทวีแห่งจันทร์ Athemis (Diana) ส่วนอระวาน อาจะเทียบได้กับกามเทพตัวน้อย Eros เพราะในหมู่เพศทางเลือกของกรีกและโรมบูชา Athemis , Eros และ Aphroditus เช่นกัน

๕. ฤาษีนารท ชายาของพระกฤษณะ


พระฤาษีนารทเป็นสาวกของพระกฤษณะผู้ที่ชอบยุยงให้เทวดาและอสูร หรือเทวดาด้วยกันทะเลาะกัน หรือสร้างปัญหาต่าง ๆ แต่ผลของปัญหานั้น ๆ กลับกลายเป็นเรื่องดี (เหมือนเทพโลกิของพวกไวกิ้ง) จึงทำให้พระฤาษีนารทไม่เคยถูกเทวดา หรือฤาษีตนใดสาปมากนัก เพราะมีครั้งหนึ่งที่ฤาษีนารทถูกพระกฤษณะสาปให้กลายเป็นผู้หญิง คือเรื่องมีว่าครั้งหนึ่งพระฤาษีนารทอยากมีชายากับเขาบ้าง แต่ไม่รู้จะไปหาภรรยาจากไหนพระนางอัปสรในตอนนั้น รับหน้าที่เป็นชายาของเทวดา อสูร ฤาษี ยักษ์ คนธรรพ์ และมนุษย์ไปหมดแล้ว ไม่มีคิวให้ พระฤาษีนารทจึงคิดว่าจะไปขอแบ่งชายาสักคนจากพระกฤษณะผู้มีชายากว่า ๘๐,๐๐๐ คน (ครั้งไปปราบ นรกาสูร บุตรนางธรณีกับวราหาวตาร ได้นางอัปสร นางนาค นางคนธรรพ์ และนางงามต่าง ๆ ที่นรกาสูรลักพามากว่า ๘๐,๐๐๐ คน เป็นชายาเพิ่ม เดิมมี ๑๖.๑๐๐ คน) พระกฤษณาวตาร แห่งนครทวารกา (นครที่มีประตูมาก) ก็อนุญาต จึงว่าให้พระฤาษีนารทไปหาดูตามห้องต่าง ๆ ถ้ามีชายาของตนคนใดที่ตนไม่ได้อยู่ด้วย ก็ให้เอาไปเป็นภรรยาได้เลย พระฤาษีนารทดีใจ จึงเข้าไปพบชายาพระกฤษณะทุก ๆ ห้อง ทุก ๆ คน แต่พระกฤษณะก็อวตารไปอยู่ด้วยกันกับชายาทุก ๆ คน ทำให้พระฤาษีนารท ไม่สามารถพาชายาคนใดของพระกฤษณะไปได้เลย จึงเสียใจและลาพระกฤษณะกลับไประหว่างทางจึงไปอาบน้ำที่สระแห่งหนึ่งเมื่อขึ้นมากก็ตกใจเพราะพระฤาษีนารทกลายเป็นผู้หญิงด้วยคำสาปของพระกฤษณะ แต่ก็มีฤาษีหนุ่มคนหนึ่งผ่านมาและพอใจในนางนารท จึงพานางนารทไปเป็นภรรยา จากนั้นก็ปั๊มลูกกับนางนารทจนนางมีลูกมากถึง ๖๐ คนจนเลี้ยงไม่ไหวรู้สึกเป็นทุกข์มากและเบื่อหน่ายในความสุขจากกาม จากนั้นลูกของนางก็หายไป และสามีของนางก็กลับกลายเป็นพระกฤษณะ และแก้คำสาปให้นางคืนร่างเป็นพระฤาษีนารท แท้จริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพลวงตาเพื่อช่วยให้พระฤาษีนารทพ้นจากความปรารถนาในกาม ด้วยความเมตตาของพระกฤษณะ ผู้มีลีลาอันน่าอัศจรรย์ใจ (พระเจ้าจะทำอะไรก็ได้ ไม่ผิด ไม่บาป)


ภาพพระกฤษณะกับฤาษีนารทในเมืองทวารกา
ที่มา http://www.bhagavatam-katha.com/narada-muni-story-power-of-maya/


ส่วนอีกตำนาน พระฤาษีนารทไม่ได้ถูกสาปให้เป็นผู้หญิง แต่หลังจากที่พระฤาษีนารทจากทวารกาของพระกฤษณะมา เขาพบกับสาวสวยในครอบครัวชาวบ้านในชนบท และทั้งสองก็รักกัน พระฤาษีนารทจึงเลิกเป็นฤาษีแต่งงานกับนาง และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งเขาทั้งสองมีลูกหลายคน แต่ต่อมาลูก ๆ ของพวกเขาประสบภัยต่าง ๆ จนเสียชีวิตไปคนแล้วคนเล่า สุดท้ายเกิดอุทกภัยทำให้ครอบครัวที่เขารักตายหมด พระฤาษีนารทมีความทุกข์มากจนแทบจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ จากนั้นพระกฤษณะก็ปรากฏตนขึ้นชี้แจงว่าที่พระฤาษีนารทประสบทั้งหมดเป็นมายาภาพที่พระกฤษณะสร้างขึ้นเพื่อให้พระนารทรู้จักความทุกข์ทางโลก และหันกลับไปบำเพ็ญตบะ และภักดีในพระเจ้าเพื่อความหลุดพ้นโมกษะ จากนั้นพระนารทก็ได้คิดและกลับสิทธาโลกไป (โลกของพวกฤาษี นักบวช)

หมายเหตุ: เรื่องพระฤษณะมีสัมพันธ์รัก กับอิราวัน (อระวาน) หรือพระนารท สาวกพระนารายณ์ ทางฮินดูเปลี่ยนให้เป็นเรื่องลีลาอัศจรรย์ของพระเจ้า แต่น่าจะมีอิทธิพลมาจากเรื่อง Hercules (พระกฤษณะของกรีก) ที่มีเพื่อนชายมาก จนสมัยต่อมามีการหลายความเห็นสนับสนุนว่า Hercules น่าจะเป็นเกย์ชั่วคราวในภาวะที่ขาดแคลนสตรี และบุคคลที่น่าสงสัยว่าจะเป็นลูกสวาทของ Hercules คือ Hylas (อิระวาน/นารท) ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นบุตร Theodamas (ท้าวกังสะ) กับนางอัปสร Menodice ซึ่ง Hercules แข่งประลองยุทธกับ กษัตริย์ Theodamas และฆ่าเขาในสนามรบ เมื่อพ่อตาย Hylas หนุ่มรูปงามได้ถูก Hercules พาไปเป็นคนรับใช้และสอนให้ Hylas เป็นนักรบ ซึ่งมีผู้สงสัยว่าทำไม Hercules ไม่ฆ่า Hylas เพราะเป็นลูกศัตรูจนมีผู้สันนิษฐานกันมานานว่า Hercules น่าจะเป็นพ่อที่แท้จริงของ Hylas หรือไม่ก็เป็นเกย์

เพราะต่อ Hylas ผู้เป็นศิษย์และผู้ติดตามของเขา (พระนารท) ถูกนางอัปสรลักพาไป เพราะเหล่านางอัปสรมีพลังความต้องการทางเพศมาก และ Hylas มีเชื่อสายของนางอัปสร สำนวนที่เป็นลูกของ Hercules ก็ว่าเป็นลูกเทพจอมพลัง ยิ่งพลังมากพอที่จะบำเรอรักให้พวกนางแน่นอน เหล่านางอัปสรที่งดงามจึงลักพา Hylas ไปด้วยความเต็มใจและยินดีของ Hylas เองด้วย


ภาพเหล่านางอัปสรมาลักพา Hylas ไปเป็นชู้รัก
(องค์ประกอบศิลป์เหมือนตอนพระกฤษณะขโมยเสื้อผ้าของเหล่านางโคปีที่แม่น้ำยมุนา)
ที่มา https://www.greekmythology.com/Myths/Mortals/Hylas/hylas.html

ซึ่งเมื่อ Hylas ถูกลักพาไป Hercules ก็เสียใจมารีบออกตามหาเท่าใดก็ไม่เจอ จนมีผู้บอกว่า Hylas ไปอยู่ดีมีสุขสำราญใจกับพวกนางอัปสรแล้วจึงหมดกังวล

แม้ว่าบางตำนานกล่าวว่า Hyllus  or Hyllas/Hylas เป็นลูกชายของ Heracles กับนางอัปสร Deianira หลังจากที่ Hercules แก้ไขพาตัวกลับมาได้ Hyllus /Hylas ก็ได้แต่งงานกับเจ้าหญิง Lole และมีลูกชายคือ  Cleodaeus กับลูกสาวสามคน คือ Evaechme, Aristaechme, and Hyllis ซึ่งลูกชายของ Cleaodaeus ชื่อ Aristomachus จะได้เป็นเจ้าเมือง Mycenae แห่งอาณาจักร Tisamenas ซึ่งลูกชาย ๓ คน ของเขาคือ ๑) Temenus จะได้เป็นกษัตริย์แห่ง Argos ๒) Cresphontes เป็นกษัตริย์แห่ง Messene ๓) Aristodemus ได้เป็นสวามีของเจ้าหญิง  Argia พระธิดาของกษัตริย์ Autesion แห่ง Thebes ซึ่งเขาเป็นพ่อของ Eurysthenes (ราชวงค์ Agiad dynasty) และ Procles (ราชวงศ์ Eurypontid dynasty) สองบรรพกษัตริย์ราชวงค์แห่ง Sparta

แต่เรื่องราวที่ Hylas จะเป็นลูกบุญธรรม ลูกจริง หรือลูกสวาทก็ยังเป็นที่สงสัยตีความกันมาจนทุกวันนี้ ส่วนพระกฤษณะของอินเดีย ชาวฮินดูเขาหาทางออกให้แล้วมีอะไรกันจริง (เพราะถ้าบอกไม่จริงชาวบ้านจะไม่เชื่อคนอินเดียเลยว่าจริงเลย) แต่เป็นลีลาอันอัศจรรย์ของพระเจ้า ใช้การแบ่งภาค ใช้เวทมนต์ การสะกดจิต และทุกอย่างในโลกนี้เป็นเพียงมายาภาพ อย่างเรื่องพลังสะกดจิตในหนัง Xmen เปรียบให้เห็นภาพนะ แต่เดี๋ยวจะว่านอกเรื่องไป



การสะกดจิต และอ่านจิต
ที่มา https://youtu.be/5Fy87B3IIlo

 การเปรียบเทียบพระกฤษณะกับเทพจอมพลังกรีก Hercules นอกจากอนุภาคต่าง ๆ ของเรื่องที่คล้ายคลึงกันแล้ว หมู่ดาว Hercules บนท้องฟ้านักดาราศาสตร์อินเดียลงความเห็นแล้วว่าคือหมู่ดาวพระกฤษณะมานานแล้ว (บางครั้งก็มี ผู้ถือว่ากลุ่มดาว Hercules คือหนุมาน และกลุ่มดาวคนเลี้ยงสัตว์ Bootes คือพระกฤษณะ แต่ในทางวรรณคดีส่วนใหญ่ชาวอินเดียจะถือว่า Hercules คือพระกฤษณะผู้ปราบนางกาลิยะหรือกลุ่มดาว ไฮดรา Hydra มากกว่า ชาวอินเดียเองเป็นผู้ชอบเปรียบวัฒนธรรมและวรรณคดีของตนกับตะวันตก เพื่อแสดงว่าตนเป็นอารยชน ถ้าไปศึกษาในอินเดียจะพบว่างานวิจัยที่เปรียบมหากาพย์ของอินเดียไม่ว่าจะเป็นอีเลียด Iliad กับกับรามายณะ นิยายกรีกกับปุราณะ หรือนาฏยศาสตร์กับบัลเล่ย์ ฯลฯ ชาวอินเดีย ทำไว้นานแล้วมากมายนัก แต่เขาจะเขียนภาษาอังกฤษบางภาษาถิ่นบ้าง บางครั้งคนไทยก็อาจจะบังเอิญไปทำซ้ำกับเขาก็มีเช่นการเปรียบเทียบเรื่องอีเลียด Iliad กับรามายณะ ซึ่งคนไทยจะตื่นเต้นว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่เขาว่าเป็นเรื่องพื้น ๆ เก่าเก็บไปนานแล้ว)


๖. ท้าวอิลราช หรือนางอิลา ชายาพระพุธ


ท้าวอิลราช ต้นตระกูลแห่งจันทรวงศ์ เป็นผู้ชายคนแรกที่ตั้งครรภ์มีลูกได้ กล่าวคือวันหนึ่งท้าวอิลราชไปเที่ยวป่ากับทหารคนสนิทแล้วหลงเข้าไปในอุทยานซึ่งเป็นที่ส่วนตัวของพระศิวะกับพระอุมาเทวี ซึ่งตอนนั้นพระศิวะนึกสนุกจึงแปลงเป็นผู้หญิงแกล้งยอกเล่นกับพระอุมาเทวี ทำให้สัตว์ทั้งหมดที่เป็นเพศชายในอุทยานนั้นกลับเพศเป็นหญิงด้วย รวมทั้งท้าวอิลราช และพวกทหารคนสนิท ท้าวอิลราชตกใจจึงรีบเข้าไปขอร้องพระศิวะให้เปลี่ยนเพศพวกตนกลับเป็นเพศชาย แต่พระศิวะโกรธที่พวกท้าวอิลราชบุกรุกเข้ามาในที่ส่วนตัวจึงสาปให้ท้าวอิลราชกับพวกทหารเหล่านั้นยังคงเป็นผู้หญิงต่อไป แต่พระอุมาเทวีสงสารจึงให้พรว่าให้เป็นหญิงครึ่งเดือน (๑๕ วัน) หลังจากนั้นอีกครึ่งเดือนให้กลับเป็นชาย และในช่วงที่เป็นชายจะจำเหตุการณ์ตอนเป็นหญิงไม่ได้ เช่นเดียวกันตอนเป็นหญิงจะจำเหตุการณ์ตอนเป็นชายไม่ได้ (โรคสองบุคลิกภาพ? ให้พรหรือสาปซ้ำกันแน่???) จะได้ไม่มีความทุกข์มากนัก


รูปสลักหินพระพุธ และชายานางอิลา
ที่มา https://ramanan50.wordpress.com/tag/ikshvaku-dynasty/

จากนั้นพวกท้าวอิลราช ซึ่งกลายเป็นผู้หญิงก็ไปแก้ผ้าเล่นน้ำในสระแห่งหนึ่งในป่าหิมพานต์ ซึ่งใต้สระน้ำนั้นพระพุธ ลูกของพระจันทรเทพ มาดำน้ำบำเพ็ญตบะอยู่ด้านใต้ มองขึ้นไปเห็นท้าวอิลราชซึ่งตอนนั้นกลายเป็นหญิงงามมาแก้ผ้าอาบน้ำก็หลงรัก จึงใช้ญาณทิพย์รู้เรื่องทั้งหมด แต่รับนางไปเป็นภรรยาไปอยู่ด้วยกันในอาศรมแห่งหนึ่งในป่าหิมพานต์ ให้ชื่อนางว่า "อิลา" ส่วนพวกทหารพระพุธก็สาปให้เป็นนางกินรี หาสามีเป็นพวกกินนรให้แล้วก็ไล่ไป พอครบครึ่งเดือนนางอิลา ก็กลับเป็นชายกลายเป็นท้าวอิลราช ก็จำเรื่องตนโดนสาปไม่ได้ถามถึงทหารและพวกของตน พระพุธก็หลอกว่าพวกทหารคนสนิทของท้าวอิลราชตายหมดเพราะหินบนเขาตกลงมาทับ ทำให้ท้าวอิลราชเสียใจมาก พระพุธจึงพูดกล่อมให้ท้าวอิลราช อยู่ปฏิบัติธรรมเป็นลูกศิษย์ของตนจนสำเร็จ ดังนั้นครึ่งเดือนเมื่อเป็นนางอิลาก็เป็นชายาพระพุธ ครึ่งเดือนเมื่อกลับเป็นท้าวอิลาราช ก็เป็นลูกศิษย์รับใช้พระพุธอยู่ในป่าหิมพานต์ จนนางอิลาตั้งครรภ์ พระพุธเกิดสงสารจึงเล่าความจริงให้ท้าวอิลาราชฟัง เมื่อคลอด "เจ้าชายปุรุรพ" บุตรแล้วท้าวอิลราชจึงกลับเมือง ครึ่งเดือนเป็นนางอิลาก็เลี้ยงลูกอยู่ฝ่ายในไม่ว่าราชการ พอครึ่งเดือนกลับเพศชายเป็นท้าวอิลราชก็ออกว่าราชการ จนพวกมหาฤาษีทั้งหลายประชุมกันและแนะนำให้ทำพิธีอัศวเมธ (ปล่อยม้างาม แล้วพวกทหารวิ่งตามล่าเมืองขึ้นต่าง ๆ คบหนึ่งปีฆ่าม้าบูชาพระศิวะ) จนพระศิวะให้พรว่าให้คงเป็นชายตลอดไปไม่ต้องกลับเป็นหญิงอีก ด้วยเหตุนี้ตระกูลกษัตริย์ที่สืบสายเลือดมาจากท้าวปุรุรพ บุตรของพระพุธ (ลูกของพระจันทร์) และนางอิลา จึงเรียกว่า "จันทรวงศ์" จึงมีต้นกำเนิดที่น่าอัศจรรย์ดังนี้

๗. "พฤหันนลา" กะเทยต้องสาป หนึ่งปีของอรชุน

บรรพบุรุษของอรชุนคือ ท้าวปุรุรพ (ลูกของท้าวอิลราชหรือนางอิลากับพระพุธ) ซึ่งหลงรักนางอุรวศี ซึ่งเป็นนางรำสวรรค์ จึงขอให้นางมาเป็นชายา นางอุรวศีก็มีใจให้ จึงยอมมาเป็นชายาของท้าวปุรุรพ แต่มีเงื่อนไขว่า ท้าวปุรุรพต้องมีเพศสัมพันธ์กับนางอย่างน้อยวันละสามครั้ง และห้ามเปลือยกายในนางเห็นเด็ดขาด แต่วันหนึ่งท้าวปุรุรพรีบมาขับไล่เสือร้ายที่เข้ามาในอุทยานจึงเปลือยกายให้นางอุรวศีเห็นนางรังเกียจก็เหาะกลับสวรรค์ไป ท้าวปุรุรพออกตามนางผ่านความยากลำบากต่าง ๆ (ตามนางโครงเรื่องอย่างพระสุธนมโนราห์ บางสำนวนเรียกว่านิทานท้าววสุ) จนพวกพวกเทวดาและนางอัปสรเห็นใจ จึงประชุมกันและยอมให้ท้าวปุรุรพเข้าเป็นพวกคนธรรพ์ เพื่อจะได้อยู่กินเป็นสามีนางอัปสรอุรวศีในสวรรค์



ภาพนางอัปสรอุรวศี (นางมโนราห์อินเดีย) เหาะหนีท้าวปุรุรพ

ที่มา https://thegreatindianepic.com/2013/06/19/3-pururava-and-urvashi-a-tragic-love-story/

ส่วนลูกหลานของท้าวปุรุรพในโลกมนุษย์ก็สืบสายกลายเป็นตระกูลจันทรวงศ์สาขาต่าง ๆ จนถึงยุคสงครามมหาภารต ตระกูลจันทร์วงค์ที่รบกันคือ พวกเการพ (ทุรโยชัน และพี่น้องร้อยคน /กษัตริย์ร้อยเอ็ดนคร) และปาณฑพ (ยุธิษฐิระ ภีมะ อรชุน นกุล และสหเทพ) ส่วนพวกยาทพตระกูลจันทรวงศ์ของพระกฤษณะเป็นผู้ช่วยรบ คือเข้าสนับสนุนการรบของปาณฑพ

สาเหตุจากการที่พวกปาณฑพและเการพแย่งอำนาจกัน จึงต่อสู้กันด้วยการพนันสกา ปาณฑพแพ้พนันพวกเการพ และถูกเนรเทศไปอยู่ป่า ๑๓ ปี แต่ปีสุดท้ายพวกปาณฑพจะกลับมาครองเมือง แต่พวกเการพไม่ยอมว่าอยู่ยังไม่ครบ แต่พวกปาณฑพว่าครบแล้วจึงรบกัน ช่วงที่ไปอยู่ป่า อรชุน หนึ่งในพี่น้องปาณฑพได้ถูกพระอินทร์เชิญไปเที่ยวสวรรค์ ได้เรียนศิลปะการฟ้อนรำ และได้พบกับนางอัปสรอุรวศีนางรำสวรรค์ซึ่งตอนนั้นเป็นโสดอยู่ ตามประเพณีนางอัปสรที่นางมีอิสระจะไปเป็นภรรยาของใครก็ได้ (เมื่อคลอดบุตรแล้วก็จะทิ้งลูกให้ฝ่ายชายเลี้ยงและกลับเป็นสาวอีกครั้ง เพราะนางอัปสรได้รับพรให้ "นิรชรา" คือเป็นสาวอยู่เสมอจากพระเจ้า) นางได้ตกหลุมรัก และขอความรักจากอรชุนแต่อรชุนมองว่านางอุรวศีเคยเป็นชายาของท้าวปุรุรพบรรพบุรุษของตน นางมีศักดิ์เทียบได้กับทวดของตนจึงปฏิเสธ (ในมหาภารตะบางสำนวนว่า เนื่องจากอรชุนเป็นบุตรพระอินทร์จึงมองอุรวศีซึ่งตอนนั้นบำเรอพระอินทร์อยู่เหมือนแม่) ทำให้นางอุรวศีอับอายมาก นางจึงสาปให้ท้าวอรชุนจะต้องกลายเป็นกะเทย และเป็นนักฟ้อนหนึ่งปี แต่ให้เลือกเอาว่าปีไหนก็ได้





ภาพยนตร์มหาภารตะ อรชุนถูกนางอัปสรอุรวศีสาปเป็นกะเทยหนึ่งปี
ที่มา https://youtu.be/saNNz515cCA และ https://youtu.be/Bbb-J9IMr-8

ดังนั้นในปีที่ ๑๓ ปีสุดท้ายแห่งการเนรเทศตนเองใช้หนี้พนัน อรชุนกับพี่น้องพวกปาณฑพทั้งห้า และนางกฤษณา เทราปที สหชายา (ภรรยาร่วมกัน) ของพวกปาณฑพ จึงพากันมาซ่อนตัวอยู่ในเมืองของท้าววิราฏ โดย

ยุธิษฐิระเป็นที่ปรึกษาท้าววิราฏชื่อ กังกา

ภีมะ เป็นพ่อครัวชื่อ พัลลภะ

อรชุนกลายเป็นกะเทยนักฟ้อนรำชื่อว่า พฤหันนลา (ตามคำสาปนางอัปสรอุรวศี)

นกุลเป็นคนเลี้ยงม้าชื่อ ครันถิก

สหเทพเป็นคนเลี้ยงวัวชื่อ อริษฏเนมี

นางกฤษณา เทราปที เป็นนางกำนัลชื่อ ไสรํธฺรี


ที่มา https://telugumahabharatam.wordpress.com/2016/08/20/విరాట-పర్వము-2-పాండవుల-వే/

เมื่อครบหนึ่งปีคำสาปของนางอุรวศีก็เสื่อมอำนาจ อรชุนก็กลับเป็นชายตามเดิม และเหล่าพี่น้องปาณฑพ ก็รวบรวมพันธมิตรทำสงครามแก้แค้นพวกเการพ จึงเกิดเป็นมหาสงครามเรียกว่า มหาภารตยุทธ มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของอินเดียเป็นคู่กับเรื่องรามายณ์ และบทเพลงของพระเจ้า "ภควัทคีตา" อันเกี่ยวกับปรัชญาชีวิตและหน้าที่ของมนุษย์ ผ่านบทสนทนาของพระกฤษณะและท้าวอรชุน

หมายเหตุ: เรื่องของนางอิลา และพฤหันนลา (อรชุน) ถูกสาปในนิทานอินเดีย อาจจะได้อิทธิพลจาก เรื่องของ Tiresias ที่เคยถูกเทวี Hera สาปเพราะไปตีงูของเธอบนเขาให้กลายเป็นหญิงเจ็ดปี ซึ่งเขามีลูก๒ คนคือ นาง Historis และ นาง Manto ต่อมานาง Manto ได้มีบุตรชายคือ Mopsus หมอดูที่มีชื่อเสียง กับสุริยเทพของกรีก Apollo หรือ Rhacius ราชาแห่ง Caria

ต่อมาเมื่อพ้นสาปจาก Hera กลับเป็นชาย Tiresias ก็ถูก Athena เทวีแห่งปัญญาสาปให้ตาบอดเพราะจ้องมองคอของพระเทวี (แต่บางตำนานว่าเพราะเขากล่าวว่าใกล้จะบรรลุความจริงแห่งชีวิตอมตะของเหล่าเทพ) แต่เนื่องจากแม่ของ Tiresias เป็นนางอัปสรที่เป็นบริวารของเธอและ Tiresias ได้ขอโทษ เธอจึงให้พร Tiresias ได้หูทิพย์แทน ต่อมา Tiresias ได้เป็นสาวกของสุรยเทพกรีก Apollo จึงได้พรจาก มหาเทพ Zeus/Apollo ให้กลายเป็นศาสดาพยากรณ์ แต่ Apollo ก็เป็นผู้สังหารเข้าด้วยธนู ในนรก Tiresias ได้พบกับ Odysseus ก่อน Odysseus ออกจากนรกได้ให้คำนายและคำแนะนำหลายอย่าง แต่พวกทหาร Odysseus ไม่เชื่อฟังจึงมี Odysseus เพียงคนเดียวมีชีวิตกลับถึงบ้าน


ภาพ ศาสดาพยากรณ์ Tiresias
ที่มา https://rexhurstspeaks.blogspot.com/2016/07/first-transsexual-in-literature.html


ภาพ Tiresias ตีงูเพศเมียจนทำให้เทวี Hera สาปให้เป็นหญิง ๗ ปี
ที่มา ที่เดียวกัน

สมัยต่อมามีการตีความว่า Tiresias คือตัวแทนแห่งวัฏสงสารคือ การเป็นมนุษย์ เทพ, หญิง ชาย, ตาบอด และมองเห็น ความจริงของชีวิต

๘. นางอรุณี ปางสตรีของพระอรุณ แม่ตัวจริงของพญาพานรสุครีพและพาลี

คือตามความคิดของพราหมณ์ในสมัยรามเกียรติ์ ยังไม่ใช่กลียุค คนในสมัยนั้นมีแต่คนดีเป็นผู้บริสุทธิ์แม้แต่นางไกเกยี แม่เลี้ยงพระรามไม่ได้ตัองการขับไล่พระรามไปอยู่ป่า แต่ความจริงนางจำใจทำตามคำขอร้องของพระรามลูกรักที่สุดของนางผู้ต้องการไปปราบอสูรร้ายในฐานะของนารายณ์อวตาร ส่วนนางค่อมข้าหลวงของนางไกเกยีผู้ที่ยุยงนางแท้จริงชาติก่อนคือนางอัปสรเสียสละตนลงมาเกิดเป็นสตรีรูปชั่วและใจร้ายตามคำขอร้องของพวกเทวดาเพื่อเป็นเหตุให้พระรามไปอยู่ป่า ทศกัณฐ์และอินทรชิต ชาติที่แล้วคือชัยและวิชัยเทพทวารบาล และสาวกของพระนารายณ์ผู้ถูกฤาษีสาปให้เป็นอสูรเพราะยึดมั่นในหน้าที่ของตน แต่ด้วยความภักดีของพวกเขาจึงได้พรว่าพระนารายณ์จะตามไปฆ่าให้ตายสิบชาติ (นารายณ์สิบปาง) ให้พ้นสาปแล้วจะได้กลับไปสวรรค์ไว ๆ ดังนั้นทศกัณฐ์ผู้ภักดีต่อพระเป็นเจ้าจึงไปเชิญนางสีดาประดุจลูกพาแม่มาเยียมบ้าน เพื่อให้พระรามผู้เปรียบเหมือนพ่อของพวกเขารีบไปรับพวกเขากลับไปสวรรค์ไว้ ๆ ซึ่งเรื่องรามเกียรติหรือรามายณะที่ทุก ๆ คนในเรื่องเป็นดีหมดเป็นสำนวนที่เขาไว้เล่าให้เทวดาฟัง คนธรรมดาฟังแล้วจะงงงงงง? ดีกันทั้งเรื่องแล้วจะรบกันไปเพราะเข้าผิดกัน...อะไร?


 

ภาพยนตร์มหาภารตะ กล่าวถึงพรหมกุมารทั้งสี่เป็นผู้สาปชัยและวิชัย
ที่มา https://youtu.be/Kzv3_Vo_Bbw

ตามขนบชาวอินเดียเชื่อรามายณะที่ฤาษีวาลมิกิ แต่งมีสองสำนวนสำนวนแรกมีคนดีคนชั่วเหมือนหนังไทยไว้เล่าแพร่หลายทั่วไปให้มนุษย์ อีกสำนวนเป็นเรื่องเชิงปรัชญามีแต่คนดีทั้งเรื่องเหมือนหนังเกาหลีไว้เล่าให้เทวดา หรือฤาษีด้วยกันฟัง โดยเขาว่าแต่งพร้อมกัน แต่เชื่อว่าสำนวนหลังเป็นการวิเคาะห์หาเหตุผลให้ทุกคนเป็นคนดีหมดน่าจะแต่งขึ้นที่หลัง เช่นเรื่องของนางอหัลยา (อหิลยา ก็ว่า) ชายาของฤาษีโคดมที่เคยเป็นชู้กับพระอินทร์และพระอาทิตย์ จนเกิดพญาวานรพาลี และสุครีพ แต่นางถูกย่องให้เป็นปัญจกันยา (สตรีผู้ทรงคุณงามความดีทั้งห้าได้แก่ นางสีดา นางมนโฑ นางตารา [ชายาพาลี] นางกฤษณา เทราปที และนางอหัลยา [ไทยเรียกกาลอัจนา] ) ดังนั้นเรื่องที่นางอหัลยามีชู้จึงไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงมีการเล่าเรื่องใหม่ในรามเกียรติ์ฉบับเล่าให้เทวดาฟังว่า ความจริงนางอหัลยาไม่ได้มีชู้แต่พระอินทร์และพระอาทิตย์เอาลูกของตนที่เกิดกับนางอัปสรอรุณีมาฝากให้เลี้ยงเท่านั้น ซึ่งนางอหัลยาชายาของฤาษีโคดมรับเลี้ยงเด็ก ๆ ไว้เพราะความมีเมตตา แต่สามีของนางไม่พอใจที่นางไปรับเลี้ยงลูกคนอื่นไม่ปรึกษาจึงโกรธสาปให้นางเป็นหินไป

นางอัปสรอรุณีคือใครทำไมไม่เลี้ยงลูกตนเอง เพราะนางอัปสรอรุณีคือพระอรุณ พี่ชายของพญาครุฑ เดิมพิการมีครึ่งท่อนเพราะแม่คือนางวินตาชายาคนหนึ่งของฤาษีกัศยปะใจร้อนรีบแกะไข่ดู พระอรุณจึงมีแค่ครึ่งท่อน แต่ต่อมาพวกเทวดาก็ช่วยกันแก้ไขจนมีร่างกายเป็นปกติและได้ไปเป็นสารถีของพระอาทิตย์

วันหนึ่งพระอินทร์ได้จัดงานเลี้ยงอย่างอลังการให้เฉพาะพวกคนสนิท  นางฟ้า และนางอัปสรเท่านั้นเข้าไปในงานได้ พระอรุณเกิดความอยากรู้อยากเห็นจึงแอบแปลงเป็นนางอัปสรชื่ออรุณีลอบเข้าไปเที่ยวในงานซึ่งเป็นที่ส่วนตัวของพระอินทร์ด้วยความสนุก แต่ทว่าพระอินทร์ซึ่งเป็นประธานของงานเกิดเห็นนางอรุณีเข้าก็หลงรักแม้ว่าจะรู้แล้วด้วยญาณว่าแท้จริงว่าเป็นใครก็ตามจึงเรียกนางอรุณีไปรับใช้ในที่ส่วนตัว ส่วนทางนางอรุณีด้วยความเกรงกลัวพระอินทร์ก็เลยไปตามน้ำ เมื่อเสร็จงานก็กลับไปหาพระอาทิตย์เมื่อพระอาทิตย์ถามว่าแอบไปไหนมา พระอรุณก็เล่าไปตามจริง ทำให้พระอาทิตย์อยากรู้ว่าพระอรุณแปลงเป็นนางอัปสรอรุณีแล้วจะสวยเพียงไหน บังคับให้พระอรุณแปลงให้ดู เมื่อเห็นความงามของนางอรุณีก็หลงรักจึงให้นางอรุณีเข้าไปรับใช้ในที่ส่วนตัว แต่นั้นมาพระอรุณจึงต้องแปลงเป็นนางอรุณีไปรับใช้พระอินทร์และพระอาทิตย์จนนางอรุณีตั้งครรภ์คลอดลูก แต่ทุกเช้านางจะต้องกลายเป็นพระอรุณเพื่อทำหน้าที่ขับรถให้พระอาทิตย์ทั้งวันนางอรุณี หรือพระอรุณจึงดูแลลูกไม่ได้ นางอรุณีเข้าใจว่าฤาษีโคดมและนางอหัลยายังไมีมีลูกชายจึงนำเด็กไปฝากนางอหัลยาเลี้ยง ซึ่งตอนนั้นฤาษีโคดมไม่อยู่ไปแสวงบุญ นางอหัลยาจึงตัดสินใจรับเด็กทั้งไว้เองด้วยความเมตตา เมื่อฤาษีโคดมกลับมาก็ไม่พอใจสาปให้พวกเด็กกลายเป็นลิง และให้นางกลายเป็นหินไปเพราะคิดว่านางมีชู้



พระอาทิตย์กับพระอรุณ (สารถี)
ที่มา https://hinduism.stackexchange.com/questions/17109/which-scriptures-describe-the-chariot-of-sun-god



ภาพพระอาทิตย์กับชายา
ที่มา https://www.festivalsofindia.in/deites/hindugods/indra


เนื้อเรื่องเกี่ยวกับนางอรุณีที่ยังสับสนอยู่และไม่น่าเชื่อ ถ้าเอาเนื้อเรื่องฝ่ายไทย ที่ว่าฤาษีเข้าใจผิดว่าเด็กคือสุครีพและพาลีเป็นลูกมาเปรียบ แต่ความจริงในฉบับรามายณะของอินเดียที่เล่าให้คนฟังไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่ว่าพระฤาษีโคดมและนางอหัลยาเป็นพ่อบุญธรรมและแม่พญาวานรทั้งสองเลย มีแต่เรื่องที่ฤาษีจับได้ว่าพระอินทร์แปลงมาเป็นตนและลอบเข้าหานางอหัลยาเท่านั้น นอกจากนี้ลูกของฤาษีโคดมคือนางอัญชนา (ไทยเรียกว่านางสวาหะ ซึ่งในนิทานอินเดีย "สวาหะ" เป็นชื่อชายาพระอัคนี) ผู้ให้กำเนิดหนุมานก็ไม่มีกล่าวถึงในรามายณะฉบับวาลมิกิ แต่ไปกล่าวถึงอยู่ในศิวมหาปุราณะแทน เรียกว่ารามายณะฉบับไทยเรียบเรียงใหม่และรวมรามายณะมาจากทุกสำนวนให้กลายเป็นรามเกียรติ์ของไทย



ภาพพระอินทร์ทรงช้าง
ที่มา http://www.baanjompra.com/webboard/thread-9603-1-1.html


หมายเหตุ ในนิทานสำหรับเด็กเรื่องอรุณี และอุตตังกะ กล่าวถึงศิษย์สองคนของฤาษีโคดมชื่อ อรุณี และอุตตังกะ เป็นผู้ชายทั้งคู่ ชื่อแขกอินเดียก็โหลและซ้ำ ๆ กันมากเช่น ฤาษีภรต (ที่เป็นครูนาฏศิลป์) พระภรตลูกนางศกุนตลา พระภรตน้องพระราม หรือนางตารา ชายาพระพฤหัสบดี นางตารา ชายาพญาวานรพาลีและสุครีพ เป็นต้น

๙. พญาวานรเพศผู้ กลายเป็นนางอัปสร

เรื่องนางอรุณี นี้คล้ายกับเรื่อง ฤกษราช พญาวานร (ตำนานการเกิดพาลีและสุครีพอีกสำนวนหนึ่ง) พญาวานรที่เกิดจากขี้ตาของพระพรหม  วันหนึ่งพญาวานรไปเที่ยวป่าและได้ฆ่าอสูรตนหนึ่ง ระหว่างทางแวะอาบน้ำ แต่พอขึ้นมาจากน้ำกลับกลายเป็นนางอัปสร พระอินทร์ผ่านมาเห็นนางก็นึกรักลงมามีสัมพันธ์รักกลับนางและจากไป ต่อมาพระอาทิตย์ผ่านมาก็นึกรักนางลงมามีสัมพันธ์กับนางก็จากไปจากนั้นนางก็ได้ให้กำเนิดพญาวานรพาลี และสุครีพ ดังนั้นทั้งสองถือว่าเป็นหลานของพระพรหม พระพรหมจึงแนะนำให้ไปอยู่เมืองขีดขิน ซึ่งพระอินทร์ให้พระวิษณุกรรม นายช่างสวรรค์ลงมาสร้างไว้ให้ (โดยตรงที่อาบน้ำเปลี่ยนเป็นหญิง ไปคล้ายกับเรื่องกำเนิดหนุมานใน "ฮิกายัตเสรีราม" ของชวามลายู แต่ฉบับชวามลายูกลับกันที่ว่าพระรามกับนางสีดาที่เป็นคน ไปอาบน้ำในบ่อต้องสาปจนกลายเป็นลิง ....และพระรามเป็นพ่อหนุมาน จากนั้นมีผู้แก้ให้กลับเป็นคนได้)


เรื่องกำเนิดสุครีพและพาลี จากสตรีข้ามเพศ (male to female) ในรามายณะ
ไม่ได้มีแม่เป็นภรรยาฤาษีโคดม
ที่มา https://youtu.be/7AfBAHLiYJw

หมายเหตุ : เรื่องพระอินทร์ (คือลูกนางอทิติ ถือว่าเทพกลุ่มอาทิตย์ ซึ่งแปลว่าลูก นางอทิติ) และสุริยเทพมีความสัมพันธ์กับพระอรุณ หรือ ฤกษราช ก็ดี อาจจะได้อิทธิพลมาจากเรื่องตำนานดอก Hyacinth ซึ่งกล่าวว่า Hyacinth คือชายหนุ่มรูปงามที่ สุริยเทพกรีก Apollo และเทพแห่งลมตะวันตก (Zephyrus สามีของเทวีแห่งสายรุ้งไอริส Iris..สายรุ้งคือธนูของพระอินทร์?) ต่างก็หลงรักเขา


ภาพ Zephyrus พัดจักรของ Apollo ไปฆ่า Hyacinth
ที่มา http://01greekmythology.blogspot.com/2015/02/zephyrus.html

แต่ Hyacinth วีรบุรุษนักรบรับรักเทพ Apollo เท่านั้น ดังนั้นในการแข่งขว้างจักรกัน เทพแห่งลมตะวันตก Zephyrus จึงพัดจักรของ Apollo ให้ไปกระแทกหัว Hyacinth ทำให้เขาตาย ด้วยความเสียใจ Apollo จึงเปลี่ยนศพเขาให้กลายเป็นดอกไม้ชื่อว่า Hyacinth (เพียงแต่ในนิทานอินเดีย อรุณ เปลี่ยนเป็นอรุณี ในนิทานกรีกนักรบหนุ่ม Hyacinth เปลี่ยนเป็นดอกไม้ ซึ่งน่าจะถือได้ว่า ดอก Hyacinth ทั้งหลายในปัจจุบันคือลูกหลานของ Hyacinth และสุริยเทพ Apollo)

๑๐. กามเทพปลอมเป็นนักเต้นกะเทย เพื่อเข้าเมืองอสูร


ภาพศามภะ อสูร และนางรติ พบทารกในท้องปลา
ที่มา https://krsnabook.com/ch54.html

หลังจากกามเทพโดยพระศิวะสังหารด้วยตาที่สาม นางรติจึงขอความเมตตาจากพระศิวะ และด้วยการช่วยเหลือของพระอุมาเทวีชายาพระศิวะที่เห็นใจว่ากามเทพตายเพราะนาง พระศิวะจึงให้พรให้กามเทพไปเกิดใหม่เป็นลูกของพระกฤษณะและนางรุกมณี  (รุกมิณี ก็ว่า) แต่มีอสูรตนหนึ่งชื่อ ศามภะ ได้รับพรว่าจะต้องตายด้วยลูกของพระกฤษณะ ดังนั้นอสูรจึงแอบมาลักพาปรัทยุมฺนะ ที่ยังเป็นทารกไปทิ้งทะเล ซึ่งทารกถูกปลาตัวใหญ่กลืนลงไป แต่ด้วยพลังเทพทำให้ทารกไม่ตาย และชายหาปลาคนหนึ่งจับปลาตัวนั้นมาให้ศามภะ เมื่อพ่อครัวผ่าท้องปลาจึงพบทารกและนำไปให้อสูรศามภะดู แต่ศามภะจำไม่ได้ว่าเป็น ปรัทยุมฺนะจึงรักและเลี้ยงไว้เหมือนลูก ซึ่งตอนนั้นด้วยคำแนะนำของฤาษีนารทนางรติชายากามเทพ จึงปลอมตนมาเป็นแม่นมให้ปรัทยุมฺนะ ดูแลเขาจนโตและเล่าความจริงให้เขาฟัง ปรัทยุมฺนะจึงฆ่าศามภะ และพานางรติกลับไปหาพระกฤษณะและแต่งงานที่ทวารกา ซึ่งต่อมามีบุตรชายคือพระอนิรุทธซึ่งเมื่อพระอนิรุทธโตขึ้นไปประพาสไปนอนหลับใต้ต้นไทร แล้วพระไทรเทวดาที่สถิตที่ต้นไทรนั้นนำพระอนิรุทธไปสมกับนางอุษา ลูกสาวบุญธรรมของพญามาร พาณาสุระ

ซึ่งนางอุษาเกิดจากดอกบัวในสระหน้าอาศรมของฤาษีตนหนึ่งในป่าหิมพานต์แต่ฤาษีไม่สามารถเลี้ยงทารกเพศหญิงได้ จึงให้พาณาสุระเอาไปเป็นลูกบุญธรรม ซึ่งอุษาชาติที่แล้วคือนางสุจิตรา จุติลงมาเพื่อเป็นเหตุให้พาณาสุระพินาศ เพราะสมัยหนึ่งพาณาสุระปลอมเป็นพระอินทร์ไปร่วมรักกับนางทำให้ได้รับความเสื่อมเสีย นางแค้นใจจึงขอพรพระอินทร์ตายจากสวรรค์ลงมาเกิดเพื่อแก้แค้นพาณาสุระ จนนางได้มาเกิดเป็นธิดาบุญธรรมของพญาอสูรชื่อว่า "อุษา"



ภาพนางจิตรเลขาวาดรูป
ที่มา https://www.quora.com/Can-you-share-about-the-love-story-of-Banasura’s-daughter-Usha-and-Lord-Krishna’s-grandson-Aniruddha

เมื่อนางอุษาเป็นสาวได้ไปเฝ้าพระศิวะกับบิดาบุญธรรม และเห็นพระศิวะมีความสุขกับอุมาเทวี นางก็คิดอยากจะมีคู่บ้าง พระอุมาเทวี จึงปลอบใจโดยทำนายว่า เธอจะมีคู่ในไม่ช้า ต่อมาเมือพระไทรอุ้มพระอนิรุทธมาสม และพาจากนางจึงให้นางโยคินี จิตรเลขา (บางตำราเรียกว่าศุภลักษณ์) วาดรูปผู้ชายทุกคนในจักรวาลให้นางดู จนรู้ว่าชายที่มาสมกับนางคือพระอนิรุทธ นางจิตรเลขาจึงไปสะกดให้พระอนิรุทธหลับพาอุ้มเหาะไปอยู่กินกับนางอุษา จนพาณาสุระจับได้ก็โกรธให้จับพระอนิรุทธขังไว้ (เนื่องจากต้องการให้นางอุษาแต่งกับพวกอสูรด้วยกัน) ดังนั้นเมื่อปู่และพ่อ คือพระกฤษณะและปรัทยุมฺนะรู้เรื่องก็แอบมาสืบข่าวของพระอนิรุทธที่เมืองพาณาสูร โดยพระกฤษณะ ปรัทยุมฺนะต่างปลอมตนเข้าเมืองพาณาสุระ   เฉพาะปรัทยุมฺนะกามเทพ อวตาร ปลอมเป็นนักเต้นกะเทย เพื่อเข้าเมืองพาณาสุระ อสูร ซึ่งการแสดงที่ปรัทยุมฺนะ แสดงเป็นการเต้นรำโบราณเรียกว่า เปฏิกูตฺตุ (อ่านว่า เปดิกูตตือ) ซึ้งแปลว่าการเต้นรำของสาวประเภทสอง ซึ่งเป็นการเต้นรำร้องเพลงไปตามถนน (น่าจะเป็นประเภทการเต้นรำพื้นบ้าน) มีหลักฐานบันทึกไว้ใน ศิลปธิการัม มหากาพย์ของชาวพุทธในแคว้นทมิฬนาฑู ของอินเดียใต้


ภาพพระกฤษณะสู้กับพระศิวะ เพราะพาณาสุระ ได้พรจากพระศิวะให้เสด็จมาช่วยรบ
ที่มา https://www.quora.com/Who-is-more-powerful-among-Lord-Krishna-OM-and-Lord-Shiva

สุดท้ายพาณาสุระ ก็ต้องรบกับพระกฤษณะ เมื่อสู้ไม่ได้จึงร่ายมนต์เชิญพระศิวะ มาช่วยรบ ทำให้เทพ เทวดาทั้งฝ่ายไวษณพนิกาย และไศวนิกายรบกัน ผลสงครามในฝ่ายไวษณพนิกายก็จะบอกว่าพระนารายณ์ชนะ เพราะพระนารายณ์ยิงศรแห่งการนอนหลับใส่พระศิวะ พระศิวะจึงหลับไป ถ้าฝ่ายไศวนิกายในไทย ก็จะว่าเสมอกัน ถ้าเป็นฝ่ายนิกายศักติ เจ้าแม่ก็จะว่าเจ้าแม่ทุรคาแพ้ พระนารายณ์ แต่ปางกาลีทำให้กฤษณะกลัวจนไม่กล้ามอง (พระกฤษณะเคยแปลงเป็นเจ้าแม่กาลี เพื่อให้นางราธาบูชา...นับถือกาลี ???)

แต่อย่างไรก็ตามผลสงครามพาณาสุระ แพ้พระศิวะจึงขอไม่ให้พระกฤษณะฆ่า ขอไปเป็นนายทวารบาล พระกฤษณะจึงขอนางจิตรเลขา นางโยคินีสาวกพระศิวะ ให้มารับใช้ตน (ใช้ให้ไปสะกดอุ้มสาว ๆ มาให้ หรือป้องกันไม่ให้นางไปอุ้มสม หรือลักพาใครมาให้เกิดปัญหาอีก???) แล้วก็พาหลานคือ อนิรุทธกับนางอุษากลับไปแต่งงานที่เมืองทวารกา

๑๑. พระกฤษณะ กลายร่างเป็นเจ้าแม่กาลี

เรื่องพระกฤษณะกลายร่างเป็นเจ้าแม่กาลี ถูกแทรกอยู่ในเรื่องพระกฤษณะในวัยหนุ่ม ที่มีคนรักเป็นสาวเลี้ยงวัวที่ชื่อว่า ราธา ซึ่งเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่พระกฤษณะรักมากที่สุด นอกจากพระศรีหรือลักษมีอวตารนางรุกมิณี  พระสุนทรีภูมิเทวีอวตารนางสัตยภามา และนางปัทมวดี (นางเวทวดี/มายาสีดากลับชาติมาเกิด) ชามพวตี (ลูกสาวพญาหมีชามพวันต์อดีตทหารแพทย์ของพระราม) ฯลฯ อีกมากมายนับไม่ถ้วน แต่ผู้ที่นับถือนางราธา ก็จะว่าสตรีทั้งหมดแม้แต่พระลักษมี คือภาคแบ่งไปจากนางราธาซึ่งแท้ที่จริงคือ มารดาแห่งจักรวาลอวตารมา จึงมีชื่อเรียกเชิงยกย่องว่า "ราธากฤษณะ" เป็นที่นิยมเช่นเดียวกับคำว่า "สีตาราม" เรียกได้ว่าในหมู่ภรรยาที่ถูกต้องเปิดเผยได้ พระศรีอวตาร รุกมิณีเทวี เป็นคนเป็นผู้นำที่พระกฤษณะเกรงใจที่สุด แต่ในหมู่ชู้รักที่แอบซ่อนนางราธา คือสตรีที่พระกฤษณะรักมากที่สุด และเป็นคนรักคนแรกที่พระกฤษณะมีความสัมพันธ์ทางเพศด้วย

แต่นางราธานั้นแต่งงานมีสามีแล้ว สามีนางชื่อว่า อยัน บางตำนานก็ว่าชื่อ จันทรเสน ทำให้สามีนางโกรธมากและต้องการจับให้ได้คาหนังคาเขาว่า นางราธามีชู้ แต่เมื่อกลับมาบ้านก็พบว่า นางราธาอยู่กับผู้หญิงสาวคนหนึ่ง (ซึ่งก็คือพระกฤษณะแปลง) ตั้งแต่นั้นมาอยันก็ไม่สงสัยนางราธาอีกเลย และชื่อของเขาก็ไว้เปรียบเทียบถึงสามีที่โง่ ที่ถูกสวมเขา


 ภาพพระกฤษณะแปลงเป็นเจ้าแม่กาลี ให้นางราธาบูชา กับอยันที่กลายเป็นสาวกของเจ้าแม่กาลี
ที่มา  https://vedicgoddess.weebly.com/bhakti-masala-blog/krishna-as-kali-back-in-the-early-1960s-babukishan-can-always-remember-seeing-these-pictures-krishna-as-kali

แต่เนื่องจากสภาพสังคมเปลี่ยนไปสมัุยหลังมีผู้มองว่าสัมพันธภาพของพระกฤษณะและนางราธาไม่เหมาะสมแต่คำว่า "ราธกฤษณะ" กลายเป็นคำศักดิ์สิทธิ์แยกจากันไม่ได้แล้ว ดังนั้นจึงมีการสร้างตำนานเพื่ออธิบายว่า "ความจริงแล้ว นางราธาบูชาพระกฤษณะในฐานะของกาลีอวตาร" ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ดังนั้นการมอบความรักของนางราธาให้กับพระกฤษณะคือความภักดีที่นางมอบให้กับพระเจ้าทำให้ตัวนางและสามีนางได้บรรลุโมกษะที่แท้จริง (คือจะอธิบายว่า พระเจ้าทำอะไรก็ไม่ผิด ไม่บาป นั้นเอง กลายเป็นเรื่องดีงามบริสุทธิ์หมด)



ภาพเหล่านางโคปี บูชาพระกฤษณะในฐานะของ กาลีอวตาร
ที่มา http://rudrasenafoundation.blogspot.com/2016/12/is-lord-mahavishnu-form-of-aadi.html

ถ้าเป็นพระกฤษณะแปลงเป็นกาลีจะสังเกตได้จากมงกุฎติดหางนกยูงอันใหญ่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระกฤษณะ

๑๒ ศิขัณฑิน หนุ่มข้ามเพศ (transgender , female to male) ของแท้คนแรกในนิทานอินเดีย

เชื่อว่าศิขัณฑินในอดีตชาติคือเจ้าหญิงอัมพาเป็นคู่หมั้นของท้าวภีษมะซึ่งเป็นลูกชายของท้าวศานตนุ และเจ้าแม่คงคาเทวี แต่เนื่องจากท้าวภีษมะสัญญาว่าจะไม่แต่งงานตลอดชีวิตเพื่อให้พ่อของตนคือท้าวศานตนุ ได้แต่งงานกับนางสัตยวดีสาวชาวเรือที่ขอข้อแม้ว่าถ้าให้นางแต่งงานด้วยลูกหลานของนางจะต้องได้ครองแผ่นดิน ดังนั้นพระราชาแห่งแคว้นกาสีพ่อนางอัมพา จึงจัดพิธีเลือกคู่ขึ้นให้นางและพี่น้องของนางได้แก่ นางอัมพา นางอัมพิกา และนางอัมพาลิกาเลือกคู่ แต่ท้าวภีษมะรู้สึกเสียดายนางจึงนำทัพไปแย่งพวกนางทั้งสามมาเป็นชายาของวิจิตรวีรยะผู้เป็นน้องต่างมารดา แต่เมื่อชิงตัวทั้งสามมายังกรุงหัสตินาปุระเรียบร้อย นางอัมพาจึงบอกให้รู้ว่าตอนที่ภีษมะกำลังจะไปชิงตัวนางนั้น นางกำลังจะทำพิธีแต่งงานกับท้าวศัลวะ  ทุกคนตกใจมากจึงรีบส่งตัวเจ้าหญิงอัมพาให้ท้าวศัลวะ แต่ท้าวศัลวะไม่ยอมรับตัวเจ้าหญิง เนื่องจากไม่เชื่อใจในความบริสุทธิ์เป็นพรหมจรรย์ของนาง นางอัมพาเสียใจมาก เมื่อกลับมาหาท้าวภีษมะและขอร้องให้แต่งงานกับนาง แต่ท้าวภีษมะยึดมั่นในคำสัตย์สาบานไม่ยอมแต่งงานกับนาง


ภาพนางอัมพิกา ศิขัณฑินและ ภีษมะบนศะระไศยา
ที่มา https://alchetron.com/Shikhandi

นางอัมพาโกรธแค้นท้าวภีษมะมากขอร้องให้ทุกคนบนโลกนี้ใครก็ได้ช่วยฆ่าท้าวภีษมะ แล้วตนจะแต่งงานด้วย แต่ไม่มีใครในโลกนี้ในตอนนั้นที่เก่งกว่าท้าวภีษมะ นางจึงบำเพ็ญตบะบูชาจนพระศิวะพอใจและได้รับพรว่าในชาติหน้าให้นางได้เป็นสาเหตุแห่งการตายของท้าวภีษมะ จากนั้นนางก็ใช้ตนเองเป็นมนุษย์บูชายัญโดยเผาตนเองในกองไฟ

แล้วนางจึงไปเกิดใหม่เป็นพระธิดาของท้าวทรุปัทแห่งนครปัญจาละชื่อ เจ้าหญิงศิขัณฑินี เป็นพี่น้องกับ เจ้าชายธฤษฏัทยุมนะ และพระนางกฤษณา เทราปตี  แต่นางถูกเลี้ยงไว้เหมือนลูกชายเพราะท้าวทรุปัทต้องการลูกชาย และเคยได้รับพรจากพระศิวะจะว่าได้ลูกชาย เมื่อได้ลูกสาวมาคือนางศิขัณฑินี จึงไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ท้าวทรุปัทจึงเลี้ยงนางศิขัณฑินีเหมือนลูกชาย จนนางศิขัณฑินีโตขึ้น ก็ได้รับเลือกให้แต่งงานกับพระธิดาของพระราชาหิรัณยวัรณะ (ชื่อแปลว่าผิวเงินผิวทอง) แห่งอาณาจักร ทศารฺณ เทศะ (ปัจจุบันคือมัธยะประเทศของอินเดีย) แต่พอถึงตอนเข้าห้องหอ เจ้าสาวกับวิ่งออกมาจากห้องด้วยความตกใจว่า เจ้าบ่าวของตนเป็นผู้หญิง ทำให้พ่อของนางท้าวหิรัณยวัรณะโกรธมากยกทัพมาตีเมือง

นางศิขิณฑินีไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไรจึงเข้าป่าไปเพื่อไปฆ่าตัวตาย แต่ในป่านั้นนาง ไปพบกับยักษ์เพศชายตนหนึ่งชื่อ "สฺถูณา" ที่สามารถแลกเปลี่ยนเพศได้ ยักษ์ตนนั้นรู้เรื่องของนางศิขัณฑินีเข้าก็สงสาร บอกให้ฟังว่าตนสามารถเปลี่ยนเพศกับนางได้ นางศิขัณฑินีจึงขอแลกเปลี่ยนเพศกับยักษ์ตนนั้น นางจึงกลายเป็นหนุ่มข้ามเพศคนแรกในนิทานอินเดียผู้มีชื่อว่าเจ้าชาย "ศิขัณฑิน"

เมื่อกลายเป็นชายแล้ว ศิขัณฑินก็กลับเมืองปัญจาละไปห้ามทัพ โดยบอกว่าเขาสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นผู้ชาย เมื่อผ่านการแก้ผ้าพิสูจน์แล้ว ท้าวหิรัณยวัรณะ ก็ขอโทษท้าวทุรปัทและว่าเป็นความเข้าใจผิดของลูกสาวตนและส่งพระธิดา (ลูกสาว) ให้กลับไปเข้าหอกับเจ้าชายศิขัณฑิน และทั้งสองก็กลายเป็นคู่สามีภรรยาตามปกติ ส่วนยักษ์สฺถูณา เมื่อกลับไปหาท้าวกุเวรที่เป็นนาย ท้าวกุเวรก็กล่าวชมความมีเมตตาของยักษ์สฺถูณา และให้พรว่าเจ้าชายศิขัณฑินจะมีเพศเป็นชายไปจนตาย และเมื่อใดที่เจ้าชายศิขัณฑินตาย ยักษ์สฺถูณาก็จะได้เพศชายของตนคืนมาในทันที



ภาพยนตร์มหาภารตยุทธิ์ ศิขัณฑิน เข้ามาขว้างทำให้ท้าวภีษมะไม่เคยยิงศรใส่ผู้หญิง....หยุดยิง
(ถือตามเพศโดยกำเนิด) จึงถูกอรชุนยิงจนร่างกายเต็มไปด้วยธนูใช้นอนเป็นเตียงได้ "ศะระไศยา" และได้ตายตามคำทำนายและพรของนางอัมพา

ที่มา https://youtu.be/2rv0pXfsqSo

หมายเหตุ: เรื่องของนางศิขัณฑินี กลายเป็นผู้ชาย เทียบได้กับ ๑) เรื่อง นาง Caenis และ Nepture/Poseidon (ภีษมะเป็นลูกเจ้าแม่คงคา?) กล่าวคือ นาง Caenis เป็นสาวงามคนหนึ่งที่มหาเทพแห่งท้องทะเล Poseidon ลักพาตัวไปข่มขืน เมื่อ Poseidon ข่มขื่นนางเสร็จมหาเทพจึงให้พรนางเป็นการปิดปาก นาง Caenis จึงขอพรให้กลายเป็นผู้ชายจะได้ไม่โดนชายใดข่มขืนนางอีก นอกจากนี้มหาเทพแห่งท้องทะเลยังให้ผิวของนางคงกระพันฟันแทงไม่เข้าด้วย นาง Caenis  จึงกลายเป็น Caenenus นักรบ และพรานป่า ชายที่กล้าหาญเป็นวีรบุรุษกรีกโบราณที่สร้างวีรกรรมต่างแต่ที่เหลือเล่ามาถึงยุคปัจจุบันคือการล่าหมูป่ายักษ์ กับการต่อสู้กับคนครึ่งม้าเซนเทอร์ Centaur นักรบคนหนึ่งคือ Aeneas ผู้เป็นเจ้าชายแห่งกรุงทรอย ลูกชายของเทวีแห่งความรัก Venus ได้เห็น Caenis กลับเป็นผู้หญิงซึ่งเป็นเพศเดิมของนางในการเดินทางไปสู่โลกหลังความตาย


ภาพมหาเทพ Poseidon ลักพาตัวCaenis มาข่มขืน
ที่มา http://art.famsf.org/search?search_api_views_fulltext=tempesta%20ovid&page=5
การถูกข่มขืนหรือข่มขืนผู้อื่นไม่ใช่เรื่องดีในวัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งกำหนดให้เป็นรากษสวิวาหะ จึงมีการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องใหม่ แม้อาจจะเอาโครงเรื่องเขามา

๒) เรื่องนาง Iphis (Cretan)
ภาพ Iphis อ้อนวอนเทวี Isis/ Juno (Hera)
กล่าวคือ Ligdus พ่อของ Iphis ต้องการลูกชายมากๆ เลยบอกภรรยาที่ตั้งท้องว่าถ้าลูกเกิดมาเป็นผู้หญิงจะฆ่าทิ้ง แต่ Iphis เกิดเป็นผู้หญิง Telethuna แม่ของเธอจึงโกหกสามีว่าลูกเป็นผู้ชายและเลี้ยงดูจนเติบโต

ครั้นพอถึงวัยสมควรที่ต้องออกเรือน พ่อ Ligdus  ต้องการให้เธอแต่งกับ Inathe ลูกสาวของTelestes และทั้งสองคนนี้ต่างฝ่ายต่างตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น Iphis จึงไปอ้อนวอนต่อเทวี Isis ซึ่งเป็นเจ้าแม่จากอียิปต์ที่ได้รับการนับถือว่าคือเทวี Juno หรือ Hera ยุคโรมันในคืนก่อนวันแต่งงาน พระเทวีเลยเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นผู้ชาย ดังนั้น Iphis จึงได้แต่งงานกับ Inathe อย่างมีความสุข 

๑๓. อวิษิตา เจ้าชายที่คิดว่าตนเองเป็นผู้หญิง (Transsexualism ?)

ใน มารฺกณฺเฑยะ ปุราณะ ได้กล่าวถึงเรื่องเจ้าชายอวิษิต ที่คิดว่าตนเป็นเจ้าหญิงอวิษิตา จึงไม่ยอมแต่งงานมีลูกจนพ่อแม่รู้สึกเป็นทุกข์มาก ทั้งที่มีผู้หญิงมากมายต้องการมาแต่งงานด้วย (อยากเป็นเจ้าหญิง) จนวันหนึ่งพระราชาคือพ่อของเจ้าชายอวิษิตทนไม่ไว้ ออกคำสั่งให้เจ้าชายอวิษิตไปทำหลานมาให้ตน เจ้าชายอวิษิตก็มีความทุกข์ใจ เพราะไม่อยากแต่งงานกับสตรีใด ๆ จึงออกไปเที่ยว ซึ่งในป่านั้นเจ้าชายอวิษิตพบกับอสูรที่พยายามไล่ปล้ำนางอัปสรตนหนึ่ง "ไวศาลินี" จึงเข้าไปช่วยขับไล่อสูรร้ายไป นางอัปสรไวศาลินีเลยตอบแทนด้วยการปลุกความเป็นชายให้เจ้าชายอวิษิต จนมีลูกด้วยกันคือ "มรุตฺตะ" ต่อไปในอนาคตเจ้าชายอวิษิตผู้เลิกสำคัญผิดว่าเป็นเจ้าหญิงจะได้เป็นจักรพรรดิ ส่วนบุตรชายท้าวมรุตฺตะจะกลายเป็นพ่อบุญทุ่มเอาสมบัติของพ่อมาบริจาคให้พราหมณ์และสร้างแท่นบูชาและห้องศาสนพิธีที่ทุกอย่างทำด้วยทอง



ภาพคนธรรพ์วิวาหะ ซึ่งเป็นประเพณีของนางอัปสรทั้งหลาย
และมนุษย์วรรณะกษัตริย์ยุคโบราณของอินเดีย
ที่มาhttps://detechter.com/the-origin-of-gandharvas-and-beautiful-apsaras/


โดยเรื่องมาเปิดเผยภายหลังว่า แม่ของเจ้าชายอวิษิต มเหสี "วิระ" ไปติดต่อขอความช่วยเหลือจากนางอัปสรไวศลินีที่ตนรู้จัก เพื่อแก้ปัญหาที่เจ้าชายคิดว่าตนเป็นผู้หญิงและไม่ยอมแต่งงาน จึงให้ขึ้นครูเสียเลย

ในความเชื่อเกี่ยวกับนางอัปสรว่า นอกจากความงดงามแล้วนางยังมีพลังทางเพศของสตรีมาก (ต้องมีเพศสัมพันธ์สามครั้งในหนึ่งวัน) แล้วนางยังมีเวทมนต์ และเสน่ห์ที่ลึกซึ้งปลุกความเป็นชายได้ด้วย เพราะนางเป็นสาวสวยผู้มากประสบการณ์ แต่ยกเว้นฤาษีผู้เฒ่าอายุมากที่มีตบะแก่กล้าเท่านั้น ซึ่งถ้านางอัปสรมารบกวนทั้งที่ฤาษีนั้นไม่สบอารมณ์ นางก็จะถูกสาปอย่างน่ากลัว แต่ถ้าพวกฤาษีหนุ่ม ๆ พวกนั้นก็จะวิ่งเขาหานางอัปสรแน่นอน เพราะฮินดูธรรมเชื่อในอาศรมสี่คือ วัยเด็ก - เรียน หนุ่ม - ทำงาน แก่ - บำเพ็ญประโยชน์ และเฒ่า - แสวงหาโมกษะ ดังนั้นฤาษีหนุ่ม ไม่ใช่พระแบบในศาสนาพุทธเถรวาทอย่างไทย พม่า แต่เหมือนพระธิเบต ญี่ปุ่น ที่เป็นครอบครัวนักบวชมากกว่า



เพลงอัปสรา อาลี จากภาพยนตร์ปัทมวดี
สะท้อนภาพความคิดของนางอัปสรในวัฒนธรรมร่วมสมัยของอินเดีย
ที่มา https://youtu.be/3JcGpGoKAaY

๑๔. พระอัคนีใช้ปากถวายงานให้พระศิวะ

เชื่อว่าก่อนที่ศาสนาอิสลามจะเข้ามา การมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันไม่ใช่เรื่องที่เปิดเผย แต่ก็มีแพร่หลายในสังคมอินเดีย พ่อแม่ชาวฮินดูที่มีบุตรเป็นเพศที่สามอาจจะโกรธที่ลูกจะไม่มีทายาทให้ ก็พยายามให้มีให้ได้ (พาไปขึ้นครู) หรือไม่ก็ขับไล่ไป แต่ไม่ถึงกับต้องฆ่าทิ้งเพื่อรักษาเกียรติอย่างศาสนาอิสลามบางนิกาย

มองว่านิทานอินเดียได้รับอิทธิพลจากกรีกเพราะในวัฒนธรรมกรีก เทพสูงสุดอย่างซีอุส ก็ลักพาเจ้าชายรูปงามแห่งกรุงทรอย “กานีเมเด (Ganymede)” ไปไว้เป็นกลุ่มดาวราศีกุมภ์ (ปุรุษศักติ) และมีกษัตริย์กรีก หรือโรมัน หลายคนจับชายรูปงามนำขังไว้บำเรอตน ทำให้เด็กหนุ่มเหล่านั้นฆ่าตัวตายในตำนานกรีกและโรมันมากมาย เพราะคติของกรีกและโรมันผู้มีอำนาจสามารถบังคับชายผู้อยู่ใต้อำนาจบำเรอตนได้ ไม่เสื่อมเสีย แต่ถ้าชายผู้มีอำนาจมากกว่า ไปยอมบำเรอให้กับชายที่มีอำนาจน้อยกว่าถือว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสีย จึงเชื่อว่าค่านิยมเหล่านี้เป็นของชาวอารยันบรรพบุรุษของกรีก โรมัน และอินเดียเหนือมาแต่เดิม ทำให้เมื่อมีการปฏิวัติพระศาสนาของชาวพุทธเรื่องพระวินัยการห้ามคนรักป่าไม้เดียวกันบวช หรือห้ามมีเพศสัมพันธ์ในหมู่สงฆ์จึงเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล ส่วนพวกฮินดูไม่ได้มีการห้ามไว้ชัดเจน เพราะฮินดูถือว่าความเป็นชายและหญิงมีอยู่ในทุกคนนั้นเป็นมายาคติ (พรหมสูตรของศักราจารย์ แนวคิดนี้เข้ากันกับแนวคิดสตรีนิยมในปัจจุบัน) เพียงแต่ถือว่าคนที่มีลูกชายไม่ได้ตายไปต้องตกนรก (ไทยเอามาเป็นสาเหตุให้ฤาษีโคดสร้างนางกาลอัจนา)

แต่อย่างไรก็ตามในนิทานปุราณะของอินเดียมีเรื่องเล่าว่า สมัยหนึ่งเมื่อพระศิวะกับพระอุมาเทวีแต่งงานกันใหม่กำลังสัมโภค หรือโล้สำเภากันกันเมามัน พวกเทพและพระอินทร์เกิดอิจฉาว่าทั้งสองจะแบ่งพลังให้บุตรที่จะเกิดมากเกินไปทำให้บุตรของพระศิวะและพระอุมาเทวีมีอำนาจมากไปกว่าพวกตน พระอินทร์จึงสั่งให้พระอัคนี ค่อยไปก่อกวนเวลาที่พระศิวะกับพระอุมาเทวีกำลังมีอะไรกันแต่อย่าให้พระศิวะรู้ ปรากฎว่าพระศิวะจับได้ และโกรธมากเพราะกำลังจะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ก็มาขัดจังหวะจึงบังคับให้พระอัคนีกลืนน้ำพืช (อสุจิ) ของตนเข้าไป เพื่อลงโทษพวกเทวดา เนื่องจากพระอัคนีมีหน้าที่รับหรือส่งผ่านเครื่องเซ่นของพวกมนุษย์ทั้งหลายส่งไปให้เทวดาทั้งปวงด้วยการว๊าบ เทวดาทั้งปวงและพระอัคนีจึงตั้งครรภ์ขึ้นทันทีด้วยน้ำพืชของพระศิวะ (พระอัคนีได้พรจากพระพรหมว่าสิ่งใดที่สกปรกหรือสะอาดก็ตาม เมื่อพระอัคนีกินเข้าไปจะกลายเป็นของบริสุทธิ์ทำให้สตรีทั้งหลายในนิทานอินเดียชอบกระโดดเข้ากองไฟ ถ้าคิดว่าตนมีมลทินจากการถูกลวนลาม เป็นม่าย หรือถูกหมิ่นศักดิ์ศรีจนยอมตายดีกว่า)

พระอัคนีและเทวดาทั้งหลายเป็นทุกข์มาก จึงไปขอร้องพระนารายณ์ให้ช่วย พระนารายณ์จึงให้พรให้พระอัคนีไปคายน้ำพีช (น่าจะเป็น เอ็มบริโอ embryo แล้ว แต่กลับคายกลับออกมาเป็นน้ำพืชได้??? ด้วยพรพระนารายณ์ ???) ของพระศิวะที่แม่น้ำคงคา เพื่อให้กำเนิดพระขันธกุมาร

ส่วนเทวดาทั้งหลายให้ไปคายน้ำพืชของพระศิวะทิ้งรวมกันไว้ที่ป่าหิมพานต์จนเกิดภูเขาทองคำขึ้น  (ที่มาของการสร้างวัดภูเขาทองในโลกศาสตร์ตามสถาปัตยกรรมโบราณ) เชื่อว่าในป่าหิมพานต์เดิมมีภูเขาพระสุเมรุเป็นทองคำ แต่ตำนานสมัยหลังว่าเป็นคนละลูกกัน และต่อมาฤาษีอคัสตยะได้นำภูเขาทองและเงินใส่หาบแบกไปไว้อินเดียใต้ด้วยฤทธิ์ แต่เมื่อครั้งที่ดีดพิณแข่งกับทศกัณฐ์เสียงพิณของพระฤาษี ทำให้ภูเขาทองถล่มลงมา


การ์ตูน กำเนิดพระสกันธกุมารแบบปรับเนื้อเรื่องสำหรับเด็ก
ที่มา https://youtu.be/xyIe4DU1i0w

ตำนานการเกิดพระขันธกุมารมีหลายตำนาน ตำนานนี้ว่าหลังจากคายน้ำพีชของพระศิวะที่แม่น้ำคงคาแล้วเกิดดอกบัวดอกหนึ่งมีเด็กชายอยู่ดอกบัวแล้วนางกฤติกาทั้งเจ็ด [ดาวลูกไก่] มาพบเข้าจึงเอาไปเลี้ยง ทำให้สัปตฤาษี [ดาวหมีใหญ่] สามีของนางเข้าใจผิดจึงขับไล่นางไปเพราะคิดว่าเหล่านางกฤติกามีชู้

แต่ตำนานนี้ยังมีแทรกเรื่องที่พระอัคนีได้นางสวาหะบุตรีคนหนึ่งของพระศุกร์เป็นชายา (คนละคนกับลูกสาวฤาษีโคดมในรามเกียรติของไทย) ว่าพระอัคนีแอบรักพวกนางกฤติกามานานแล้ว แต่เนื่องจากพวกนางมีสามีแล้ว และการไปรักกับภรรยาคนอื่นไม่ถูกต้อง พระอัคนีรู้สึกละอายและเป็นทุกข์เพราะความรักมากจึงจะไปฆ่าตัวตายในป่า ฝ่ายนางสวาหะก็หลงรักพระอัคนีมานานแล้วเมื่อรู้ด้วยญาณว่าพระอัคนีจะไปฆ่าตัวตายจึงรีบตามไปในป่านั้นและแปลงเป็นนางกฤติกาที่ละคนเข้าไปบำเรอความรักให้กับพระอัคนีจนเลิกคิดฆ่าตัวตาย เมื่อนางแปลงเป็นนางกฤติกาคนสุดท้ายเข้าไปบำเรอพระอัคนีเสร็จแล้วก็เกิดคิดได้ว่า การแปลงเป็นภรรยาชาวบ้านมาหลับนานกับชายอื่นไม่เหมาะสม เพราะถ้ามีใครมาเห็นจะเข้าใจผิดและทำให้เหล่านางกฤติกาเสียหายจึงแอบหนีไปในคืนนั้น เมื่อพระอัคนีตืนมาในตอนเช้าคลายจากความเศร้าโศกจึงเล็งดูด้วยญาณก็รู้ว่าสตรีทั้งหมดที่เข้ามาปลอบใจตนในคืนนั้นคือนางสวาหะแปลงมา จึงไปรับนางมาเป็นชายา ส่วนเหล่านางกฤติกาทั้งหลายก็เป็นตามที่นางสวาหะสังหรณ์ คือถูกสามีเข้าใจผิดและขับไล่ไปด้วยเหตุนี้หมู่ดาวสัปตฤาษีกับดาวกฤติกาจึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน และบางตำนานว่านางกฤติกามีตนเดียวและเป็นหนึ่งในกลุ่มดาวทั้ง ๒๘ กลุ่ม (ในสิบสองราศีแบ่งย่อยอีก) ผู้เป็นชายาของพระจันทร์

ซึ่งภาพที่พระอัคนีใช้ปากเก็บน้ำพีชของพระศิวะ ไม่ปรากฏแพร่หลายทั่วไป แต่ก็มีภาพสลักในวัดลักษมันที่ "ขชุรโห" มีภาพชายคนหนึ่งใช้ปากบำเรอองคชาติของชายผู้หนึ่งซึ่งทรงมงกุฏอย่างพวกฤาษีหรือเทพ ซึ่งอาจจะได้อิทธิพลจากตำนานเรื่องนี้หรือวิธีการทำ "เอาปริษฺฏกะ" ที่เป็นวิธีการใช้ปากเพื่อบำเรอองคชาติของชายแปดวิธี ในคัมภีร์กามสูตรที่กล่าวถึงพฤติกรรมของชายบางคนที่ให้ชายกะเทย หรือขันทีผู้มีอาชีพอาบน้ำให้ในสมัยนั้นเป็นผู้บำเรอกามให้




ภาพพระอัคนีกับพระศิวะ (ชายรักชาย?) ที่วัดลักษมณะใน ขชุรโห ประเทศอินเดีย
ที่มา https://davidcharlesmanners.wordpress.com/2014/06/19/the-birth-of-skanda-part-4/


แสดงว่าการใช้ปากบำเรอกามเป็นที่ปรากฏในกามสูตร เป็นที่ยอมรับในสังคมอินเดีย ต่างจากทางฝรั่งที่มองว่าเป็นบาปเป็นการกระทำของสัตว์ และในมหาภารตะมีระบุไว้ว่าในกลียุคที่โลกจะใกล้พินาศ ผู้คนจะนิยมกามกิจด้วยวิธี "เอาปริษฺฏกะ" ซึ่งถือว่าเป็นบาป อาจจะเป็นการเพิ่มเติมขึ้นในสมัยหลังเพราะได้แนวคิดเรื่องความบริสุทธิ์ทางเพศมาจาพวกฝรั่ง

๑๕. สามีสาวของเจ้าหญิงจันทรประภา

เรื่องมนุกุมารพราหมณ์หนุ่ม (บางสำนวนว่ามนัสวี/เหมันตะ เป็นบุตรพ่อค้า) ผู้แอบปลอมเป็นผู้หญิงชื่อ "มนุกุมารี" ด้วยลูกอมวิเศษ (บางสำนวนว่าเป็นแหวน) ของพราหมณ์เทวะมูล เพื่อเข้าไปลักลอบแต่งงานกลับเจ้าหญิงจันทรประภา ธิดาราชาสุพิจารแห่งเมืองกุสมาวดี...แบบคนธรรพ์วิวาห์ เป็นนิทานเวตาลที่แทรกอธิบายลักษณะแห่งวิวาหะทั้งแปดอย่างของอินเดียโบราณ คือ


ภาพท้าววิกรมาทิตย์แบกเวตาลที่สิงในศพเด็กในป่าช้า

(๑) พรหมวิวาหะลักษณะพราหมณ์ คือพ่อแม่หรือบุพการียกลูกสาวให้แก่วรรณะเดียวกัน มีพิธีการแต่งงานถูกต้องตามวรรณะและประเพณี โดยผ่านเจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องถึงวัยอันควร สำเร็จการศึกษาแล้ว และฝ่ายเจ้าสาวจะต้องจ่ายสินสอดแก่เจ้าบ่าว จากนั้นพ่อจะต้องจูงมือลูกสาวมาส่งมือให้กับมือเจ้าบ่าว
(๒) ไทววิวาหะโดยลักษณะเทวดา คือพ่อแม่ หรือบุพการียกลูกสาวให้แก่พราหมณ์ผู้กระทำพิธีบูชายัญ เป็นค่าจ้างในการกระทำพิธีนั้น หรือการที่ครอบครัวที่ยากจนของเจ้าสาวได้รับการบริจาค หรือรับเป็นเจ้าภาพจัดงานให้จากผู้ที่ร่ำรวยหรือกษัตริย์
(๓) อารฺศวิวาหะโดยลักษณะฤาษี คือ เจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวต้องสวดคัมภีร์ กันยา ศุลฺกัม ประกอบพิธีกรรมจากนั้นบุพการีจึงยกลูกสาวให้แก่ชายซึ่งให้แม่โคพร้อมลูกโค หรือควายแม่ลูกแก่ พ่อแม่ หรือบุพการีเจ้าสาวคู่หนึ่งหรือสองคู่ 
(๔) ประชาปตฺยวิวาหะโดยลักษณะประชาบดี เหมือนพรหมวิวาหะ แต่พ่อแม่และบุพการีของเจ้าสาวยกเจ้าสาวให้แก่พ่อของเจ้าบ่าว เพราะเจ้าบ่าวเจ้าสาวยังอายุน้อยเกินไปเมื่อจบการแต่งงาน (การหมั้นหมาย) พ่อเจ้าสาวพาเจ้าสาวกลับไปอยู่บ้านเจ้าสาวจนทั้งสองฝ่ายเห็นว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวถึงวัยที่อยู่กันได้ พ่อเจ้าสาวจึงส่งตัวเจ้าสาวไปให้อยู่กับเจ้าบ่าว  
(๕) อสุรวิวาหะโดยลักษณะอสูร คือเมื่อเจ้าบ่าวไม่เหมาะสมกับเจ้าสาวทั้งอายุและวรรณะ จึงได้ให้ทรัพย์แก่พ่อแม่ หรือบุพการีแห่งหญิงจนเต็มที่ซึ่งจะให้ได้แล้ว บิดาหญิงยกบุตรีให้เป็นภริยา 
(๖) รากษสวิวาหะ โดยลักษณะรากษส คือชายแย่งหญิงได้ในการรบสู้กับบุพการี พ่อแม่ของหญิง และผู้หญิงไม่เต็มใจ จึงใช้กำลังบังคับลักพาตัวไป
(๗) คนฺธรววิวาหะ  (คนธรรพ์วิวาหะ) โดยลักษณะคนธรรพ์ คือเมื่อหญิงกับชายได้กันเองด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย 
(๘) ไปศาจวิวาหะโดยลักษณะปิศาจ คือชายลอบรักหญิงเมื่อเวลาหลับ เมา สลบ หรือไม่มีสติ บังคับขืนใจแต่งงานโดยฝ่ายหญิงไม่เต็มใจ



หนังเรื่องนิทานเวตาลตอนที่ ๑๕ ไทยว่าตอนที่ ๗ หนังสือแปลฝรั่งบางเล่มว่าตอนที่ ๑๘ บาง ๒๑ บาง
ฯ ใช้ชื่อแปลฝรั่งว่า How Muladeva obtained a bride for Sasideva หรือ truth is same that the world see เป็นต้น
ที่มา https://youtu.be/DCIwhNQ_AD4

 และว่าภายหลังเทวะมูละเปลี่ยนใจสู่ขอนางจันทรประภาให้ศศิ/ศศิเทวะ ผู้เป็นเพื่อน (บางสำนวนว่าเป็นลูก) ทำให้มนุกุมารไม่พอใจบุกมาถึงงานและแสดงตนว่าเป็นสามีของนางผู้วิวาหะด้วยคนธรรพ์วิวาห์ จึงเกิดความขัดแย้งว่า จันทรประภาซึ่งแต่งงานสองครั้งควรเป็นภรรยาของใคร ระหว่างมนุกุมารที่แต่งงานแบบได้เสียกันเองแบบคนธรรพ์วิวาหะ กับศศิเทวะผู้ท่ีนางแต่งงานด้วยพรหมวิวาหะ คือถูกต้องตามประเพณี

ท้าววิกรมาทิตย์จึงตอบเวตาลว่า จันทรประภาเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามประเพณีของศศิเทวะ ส่วนลูกที่อยู่ในครรภ์ของนางกับมนุกุมารถือว่าทำพิธีพลีกรรมให้มนุกุมารในฐานะของลูกของมนุกุมารได้

ซึ่งบุตรชายของพระโกษาธิบดีของราชาสุพิจาร เห็นมนัสวีพราหมณ์ที่ปลอมเป็นหญิงก็หลงรัก เข้าข่ายเปิดพื้นที่ให้กับชายรักชาย ส่วนเจ้าหญิงจันทรประภาที่รักกับมนัสวีที่ต้องแต่งหญิงตลอดในวังก็เข้าข่ายว่านิทานเวตาลเรื่องนี้เปิดพื้นที่ให้กับ เชอร์รี (หญิงรักเกย์/กะเทย) หรือใกล้เคียงกับคำว่า fag hag (หญิงรักเกย์ หรือเสือไบ) สแลงในภาษาอังกฤษ โดยมองอีกมุมหนึ่งเรื่องของจันทรประภา น่าจะสะท้อนเรื่องราวการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างนางในกับพวกขันที และความหวาดระแวงขันทีปลอมในราชสำนักอินเดียมาโดยทางอ้อมประการหนึ่งด้วย

โดยชายที่ชอบแต่งเป็นหญิง เรียกว่า crossdress บางคนอาจจะเป็นศิลปินหรือทำเป็นอาชีพไม่มีอารมณ์ทางเพศมาเกี่ยวข้อง แต่ส่วนชายที่มีความสุขทางเพศเวลาแต่งหญิงกับเพศใดก็ตามเรียกว่า Transvestism (ไม่ใช่ Trangender เปลี่ยนเพศด้วยการผ่าตัด) อย่างหลังนี้ถือว่าเป็นกามวิตถาร  เพศทางเลือกน่าจะไม่ใช่ปัญหาของสังคมปัจจุบัน แต่กามวิตถารหรือพฤติกรรมผิดปกติทางเพศบางอย่างผิดกฏหมายและเป็นภัยสังคมเช่น การใช้ความรุนแรงบังคับขืนใจผู้อื่นเพื่อสนองอารมณ์ทางเพศของตนเอง การมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก การมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ ศพ การขโมยของเพื่อสนองอารมณ์ทางเพศ การเปลือยกายในที่สาธารณะเหล่านี้เรียกว่า "กามวิตถาร" ถือว่าเป็นการเบียงเบนทางเพศที่ก่อภัยให้ตนเองและสังคม

หมายเหตุ : ชายแต่งเป็นหญิงเพื่อปลอมตัวเข้าไปอยู่ในหมู่ผู้หญิงที่ตนรักเพื่อลักลอบได้เสียกับนาง อาจจะได้รับอิทธิพลจากเรื่องที่ Zeus ปลอมตัวเป็นลูกสาวตนเองคือ Athemis (Diana) เพื่อเขาหานาง Callisto ซึ่งครั้งแรก Zeus มาในรูปชายงาม Callisto ปฏิเสธ เพราะยึดมันในสัญญาหรือกฏว่าจะเป็นสาวพรหมจรรย์ ของบริวารทุกนางของเทวีแห่งจันทร์ Athemis ดังนั้น Zeus จึงแปลงเป็น Athemis เพื่อเข้าหานาง


ภาพนาง Callisto มีความรักกับ Athemis (Zeus ปลอมตัวมา)
ที่มา https://lintervalle.blog/2017/10/31/les-metamorphoses-dovide-dix-ans-de-traduction-par-marie-cosnay/

ผลคือนาง Callisto ตั้งครรภ์และถูกขับออกจากกลุ่มบริวารสาวพรหมจรรย์ของ Athemis  เมื่อคลอดลูก   Arcas ก็ถูก Hera ชายาของเทพ  Zeus สาปให้เป็นหมีไป เมื่อ Arcas โตเป็นหนุ่มมาล่าสัตว์ในป่า นางหมีผู้เป็นแม่เห็นเขาก็จำได้ ด้วยความเป็นแม่ดีใจจะวิ่งไปกอดลูก Arcas คิดว่าหมีจะทำร้ายจะปาหอกใส่เพื่อฆ่า ในวินาทีนั้นเทพ  Zeus ก็รีบพาทั้งสองขึ้นไปเป็นดาวหมีใหญ่ และกลุ่มดาวหมีน้อยบนท้องฟ้าทันที Zeus ของกรีกนับเป็นเทพตนแรกที่ปลอมเป็นหญิงเพื่อเข้าหานางงามที่ตนรัก

ซึ่งความจริงเรื่องราวเกี่ยวกับเพศทางเลือกในนิทานอินเดียมีมากมายอีกนับไม่ถ้วน ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับตำนานท้องถิ่น ตำนานและนิทานของพวกศาสนาอื่นเช่นอิสลาม ไชนะ และพุทธ นวนิยายปัจจุบันของซึ่งอินเดีย ส่วนในนิทานฮินดูเรื่องของเพศทางเลือกโดยมาก ส่วนหนึ่งเชื่อว่าเป็นเรื่องราวที่แต่งเติมเข้ามาในวรรณคดีสันสกฤตที่เป็นกระแสหลัก เช่นเรื่องกำเนิดพระสกันธกุมาร กำเนิดปราศักติ กำเนิดเจ้าแม่เรณุกา ยัลลัมมา กำเนิดหริหระ กำเนิดท้าวอระวาน และพวกขันทีของพระราม ฯลฯ ความจริงเดิมอาจจะไม่เกี่ยวกับเพศทางเลือกในอินเดียเลยก็ได้ แต่มีการเล่าใหม่ให้เกี่ยวข้องเพื่อแสวงหาพื้นที่ยืนทางสังคมให้กับเพศทางเลือกในอินเดียมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่เนื่องอินเดียเป็นแหล่งร่วมความคิดที่หลากหลาย ร่ำรวยวัฒนธรรมมากมาย จึงไม่น่าแปลกใจว่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับตำนานเรื่องเดียวกันอาจจะมีหลายสำนวน ซึ่งเรื่องที่มีโครงเรื่องเดียวกันบางสำนวนอาจจะกล่าวถึงหรือให้ความสำคัญกับเพศทางเลือก แต่บางสำนวนอาจไม่ถูกกล่าวถึงเลยก็ได้ เพราะสำนวนที่กล่าวถึงเพศทางเลือกอาจจะไม่ใช่กระแสหลักของสังคม แต่จะถูกหยิบยืมมาใช้เพื่อแสดงให้เห็นความสำคัญของเพศทางเลือกในสังคมอินเดียเป็นครั้งคราวเท่านั้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นการสร้างพื้นที่ให้กับเพศทางเลือกในนิทานอินเดีย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ศัพท์หมวดครอบครัวภาษาฮินดี

एकल परिवार  और  संयुक्त परिवार  (เอกัล ปริวาร เอาร สังยุกฺต ปริวาร) ❀✾❀✾❀✾❀✾❀✾❀✾❀✾❀✾❀✾❀ एकल परिवार (เอกัล ปริวาร) ครอบครัวเดียว Nuclear Family संयुक्त परिवार (สังยุกฺต ปริวาร) ครอบครัวผสมหลายครอบครัวรวมกัน/ ครอบครัวใหญ่ Joint Family Picture: Indian families Refer to:  https://www.babydestination.com/joint-family-vs-nuclear-family 1. ศัพท์หมวดเครือญาติ संबंधी สัมบันธี เครือญาติ चाचा จาจา ลุง / อาว์ जीजाजी ชีชาชี สามีของพี่สาว छोटा भाई โฉฏา ภาอี น้องชาย छोटी बहन โฉฏี บหัน น้องสาว ताई ตาอี ภรรยาของพี่ชายคนโตของพ่อ ताऊ ตาอู พี่ชายคนโตของพ่อ दामाद ทามาท ลูกเขย ननद นะนัท น้องสาวสามี नातिन / पोती นาติน/ โปตี หลานสาว नाती / पोता นาตี/ โปตา หลานชาย नाना / दादा นานา/ ทาทา ปู่/ ตา नानी / दादी นานี/ ทาที ย่า/ ย...

ค่ายหนังอินเดียไม่ได้มีแต่ Bollywood

"เมืองไทยมักจะบ่นว่าพระเอกไทยหน้าตาดีเล่นไม่ได้เรื่อง แต่เมืองทมิฬพระเอกเล่นก็ดีแต่หน้าตางั้นๆ"      ค่ายหนังในอินเดียมีมากมายแม้แต่เรื่อง "บฮูบาลี" มหากาพย์อินเดียซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ก็เป็นหนังแดนใต้เป็นความร่วมมือ ของ kollywood และ Tollywood ถ่ายทำด้วยภาษาทมิฬและเตลุคุ ก่อนแปลเป็นภาษาฮินดี โดยค่ายหนังใหญ่นั้นมีอยู่สามค่ายคือ      1.บอลีวู๊ด Bollywood ซึ่งเป็นค่ายหนังอันดับหนึ่งของอินเดียเหนืออยู่ที่เมืองมุมไบ ใช้ภาษาฮินดี ในการแสดง หนังส่วนใหญ่จะก๊อบปี้เนื้อเรื่องมาจาก ฮอลีวู๊ด(USA)      2.กอลีวู๊ด Kollywood เป็นค่ายหนังอันดับสองของอินเดียใต้อยู่ที่เชนไน รัฐทมิฬนาดู ใช้ภาษาทมิฬในการแสดง หนังส่วนใหญ่จะก๊อบปี้มาจาก บอลีวู๊ด(อินเดียเหนือ)      3.ทอลีวู๊ด Tollywood เป็นค่ายหนังอันดับสามของอินเดียใต้อยู่ที่อันธรประเทศไม่แน่ใจว่าอยู่ที่เมืองอะไรใช้ภาษาเตลุคุ และเบงกาลีในการแสดง หนังส่วนใหญ่จะร่วมทุนสร้างกับ กอลีวู๊ด และ บอลีวู๊ดด้วยบางเรื่องก็เป็นหนังโบราณพวกจักร ๆ วงศ์ ๆ แขก      ระดับสีผิวและความหน้...

วิทยาลัยนานาชาติ "ฮินดี สันสถาน" ศูนย์ศึกษาภาษาฮินดีที่เมืองอาครา ประเทศอินเดีย

  केंद्रीय हिंदी संस्थान , आगरा ( Central Institute of Hindi)  เกนทรียะ ฮินดี สันสถาน, อาครา (ศูนย์ศึกษาภาษาฮินดี)  ภาพที่ ๑ เกนทรียะ ฮินดี สันสถาน , อาครา มุขยาลัย เอวัง (และ) คานธี ภะวัน ที่มา : วิทยาลัยเกนทรียะ ฮินดี สันสถาน, อาครา http://khsindia.org/india/en/  ภาพที่ ๒ ตราประจำวิทยาลัย ที่มา : วิทยาลัยเกนทรียะ ฮินดี สันสถาน, อาครา http://khsindia.org/india/en/ คำขวัญ : ชโยติต โห ชน-ชน กา ชีวัน (แสงสว่างแห่งชีวิตของมวลชน)      ผู้สนใจเรียนภาษาฮินดีที่ประเทศอินเดีย สามารถขอทุนได้จากรัฐบาลอินเดีย โดยถ้าต้องการไปเรียนภาษาฮินดีระดับต้น จะไปศึกษาที่ศูนย์ศึกษาภาษาฮินดีคือ เกนทริยะ ฮินดี สันสถาน ( Kendriya Hindi Sansthan) สาขาเมืองอาครา หรือผู้ใช้ทุนของตนเองก็ไปจ่ายเองและสมัครเรียนที่ เกนทริยะ ฮินดี สันสถาน ( Kendriya Hindi Sansthan) สาขาเมืองเดลลี ซึ่งจะมี ๔ หลักสูตร ตั้งแต่ชั้นต้น ไปจนถึงชั้นสูง โดยที่ในระดับชั้นที่ ๒ และ ๓ เทียบเท่ากับอนุปริญญา ชั้นที่ ๔ คือหลังอนุปริญญา โดยนักศึกษาต่างชาติผู้ที่จะเข...